วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวอินเดียใต้ กับ 4 คน 4แนวความคิด สัมผัสดราวิเดียนที่น่ารัก

ก่อนขึ้นเครื่อง
คณะเดินทาง สุประดิษฐ์ ทรัพย์พลับ,พี่ปัญญา พูพะเนียด
และเล็กคุง ศิโรตม์ ภินันรัชธร ส่วนคนถ่ายภาพมนัสศักดิ์
เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างVIp
โดยความอนุเคราะห์ของ คุณกิติพงษ์(พี่เจี๊ยบ) เกิดฤทธิ์
มุ่งสู่สนามบินเมืองเชนไน ใช้เวลาบินประมาณ 3ชั่วโมง ถึงก็ดึกมากแล้วจะนอนที่เชนไนก็เปลืองค่าโรงแรม
แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้านอนสนามบินคงไม่ปลอดภัย มีทหาร บังเกอร์ ปืนกล อาวุธหนัก ยังกับอยู่ในสงคราม
เราเลยตัดสินใจเช่า“ริกชอว์”หนีไปเมืองมัลลปุลัม ใช้เวลาต่อราคาประมาณ 1 ช.ม เหลือราคา 1,200 รูปี
(โดนหลอกเป็นครั้งแรกที่เจอแขก เพราะราคาจริงอยู่ที่ประมาณ 500 รูปี)ถึงมัลลปุลัม ประมาณตี 2 ใช้หาเกตเฮาส์ที่นอนราคาถูก อีก 1 ชม.เพราะแขกหลับหมดแล้ว ฉนั้นต้องปลุกด้วยเสียงแตรปีศาจ
                                                 เล็กคุงยามเช้าก่อนหากาแฟดื่ม
                                                       บรรยากาศจากหน้าห้องพัก
            

                                              มุมมองยามเช้าจากเกตเฮาส์ดูทะเล

คุณป้าขายพวงมาลัยหน้าวิหารในยามเช้า
ชาวม้ลลปุลัมเล่นนำทะเลในตอนเช้า ราว 07.00 น
สาวน้อยคนนี้เธอไม่สนใจน้ำทะเล บูชาศิวะลึงค์ดีกว่า

ทะเลยามเช้าหลังวิหาร เมืองมัลลปุลัม

ในตอนเช้าวิหารชอร์(Shore Temple)ยังไม่เปิดให้เข้าชม เลยแอบดูนอกรั้ว

วิหารชอร์(Shore Temple)เมืองมัลลปุลัม ในอดีตเป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญของกษัตริย์ในราชวงศ์ปัลลวะ
ซึ่งวิหารหลังนี้น่าจะเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญ

เล็กคุงกำลังสนใจเรือไม้ของชาวมัลลปุลัม
เรือประมงที่ยอดนิยม

เธอคนนี้ทำความสะอาดหน้าบ้านเสร็จแล้วจึงเขียนลายมงคลที่หน้าประตูทางเข้า
ทุกวันในตอนเช้าเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของคนในครอบครัว
รถเก็บขยะในตอนเช้า พนักงานทำความสะอาดส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง
ในตอนเช้าคนส่วนใหญ่จะนำภาชนะทุกชนิดมาเก็บน้ำ
เพราะน้ำประปาที่นี่ ปล่อยน้ำเป็นเวลา

ภาพสลักเล่าเรื่องพระแม่คงคา สันนิฐานว่าน่าจะเป็นตอนที่เชิญพระแม่คงคาลงมาจากสวรรค์
กินนรนางนี้กำเล่นดนตรีวีณา ชนิดหนึ่งชื่อว่า "เอกตันตริกะ"
ซึ่งเหมือนกับภาพปูนปั้นที่พบที่เจดีย์จุลประโทน นครปฐมเป็นอย่างมาก

คุณสุกร..อุ๋ย ขอโทษ..นายสุประดิษฐ์ กับ กฤษณะ บอล (Krishna's Butterball)
ใครใหญ่กว่ากัน


เดินเที่ยวไม่ไหวแล้วเช่าจักรยานดีกว่า
ค่าเช่าวันละ 40 Rs
นักเรียนเดินเดินรณรงค์ ให้ตระนักถึงภัยโรคเอดส์
ในวันเอดส์โลก
ร้านขายผลไม้

ปัญจรถ อ่านว่า ปัน-จะ-ระ-ถะ (รถ 5 คัน)Pancha Rathas

บูชาพระพิฆเนศในตอนเช้า

กรรมกรสาวกับวิธีขนอิฐ



ไว้ติดตามตอนต่อไปนะครับ มีเรื่องฮาๆเพียบ

พระปฐมเจดีย์จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์


พระปฐมเจดีย์
มนัสศักดิ์ รักอู่


พระปฐมเจดีย์ ชื่อนี้มีที่มา
พระปฐมเจดีย์ คือชื่อของพระมหาสถูปใหญ่ในจังหวัดนครปฐม เดิมมีชื่อเรียกตามช่วงเวลาต่าง ๆเมื่อแรกสร้างว่าอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐาน จากการสืบความพบชื่อที่ใช้เรียกพระมหาธาตุเก่าแก่ที่สุด ปรากฏในจารึกหลักที่ ๒ วัดศรีชุม สมัยสุโขทัย ในราว พ.ศ.๑๙๑๒ ระบุว่า “ขอมเรียกว่าพระธม” ครั้นต่อมาในสมัยอยุธยาพบหลักฐานในสมุดภาพไตรภูมิ เล่มที่ ๖ และเล่มที่ ๘ ระบุชื่อว่า “ปทม” และในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ใช้เรียกพระมหาธาตุนี้ว่าพระประธม และบ้างก็ใช้ชื่อเรียกว่า พระประทม ดังปรากฏในบทกวีนิราศต่างๆ ส่วนชื่อที่เรียกว่า พระปฐมเจดีย์ นั้นเป็นชื่อที่ได้รับพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ภายหลังจากทรงพิจารณาแล้วว่าพระมหาสถูปใหญ่นี้คงจะสร้างขึ้นเป็นแห่งแรกในแผ่นดินสยาม
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัติวงศ์ ได้ทรงอธิบายชื่อต่างๆ ของพระปฐมเจดีย์ ไว้ในสาส์นสมเด็จ ฉบับลงวันที่ ๑๐ เดือนสิงหาคม ๒๔๗๘ ว่า “ชื่อพระปฐมเจดีย์นั้น ย่อมทรงทราบอยู่แล้วว่าก่อนนี้เรียกกันว่า พระประทม ซ้ำมีนิทานประกอบว่าพระเจ้าเสด็จมาประทม(เข้านิพาน)ที่นั้น พระประโทณว่าเป็นที่ฝังทะนานตวงพระสารีริกธาตุ เป็นนิทานแต่งขึ้นประกอบชื่ออย่างโง่ ๆ ตามเคย เกล้ากระหม่อมสงสัยว่าเป็นคำเขมร คำว่า พระธม แปลว่า พระ(เจดีย์)ใหญ่ พระโทล แปลว่า พระ(เจดีย์)แข็งแรงหรือมั่นคง เขมรอ่านตัว พ. ออกเสียงเป็น ป. จึงเป็นประธม ประโทล เป็นสิ่งที่ควรสังเกตว่าเขมรได้เข้ามาวอแวอยู่ในแขวงนี้คราวหนึ่ง” และฉบับวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๔๗๘ “ว่าต่อไปถึงข้อที่เรียกชื่อว่า “พระปฐม” จะมาแต่คำ “ปฐม” ภาษามคธหรือ “ปธม” ภาษาเขมรนั้น หม่อมฉันพิจารณาเห็นว่าที่ถูกน่าจะเป็นคำ “ปฐม” ภาษามคธ เช่นใช้ทุกวันนี้ เพราะเป็นภาษาทันสมัยที่สร้าง เปรียบว่าเมื่อสร้างบ้านเมืองมีพระเจดีย์ขึ้นหลายองค์ อาจจะขนานนามองค์ที่สร้างก่อนเพื่อนว่า “ปฐมเจดีย์” ทำนองเดียวกับเราเรียกชื่อวัดว่า “วัดเดิม” แต่ในสมัยนั้นเองก็เป็นได้...”
[1] จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าชื่อของพระปฐมเจดีย์ ขึ้นอยู่กับลักษณะภาพแวดล้อมทางกายภาพ โดยเชื่อมโยงกับความเชื่อความศรัทธาในช่วงเวลานั้นๆ ดังรายละเอียดจะกล่าวต่อไป
พระปฐมเจดีย์ปูชนียสถานสำคัญทุกกาลเวลา
พระปฐมเจดีย์ เป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของบรรดาพุทธศาสนิกชนจากทุกสารทิศ เดินทางมานมัสการตลอดทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่อดีตกาลสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่องค์พระมหากษัตริย์ลงมาจนถึงสามัญชน ต่างได้ก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์บูชนียสถานแห่งนี้ขึ้นไว้ตามกาลเวลา มากบ้างน้อยบ้าง แสดงให้เห็นได้จากฝีมือช่างตั้งแต่ธรรมดาสามัญจนกระทั่งถึงขั้นประณีตชั้นสูง เพิ่มพูนศิลปกรรมอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นศูนย์รวมแห่งศิลปะวิทยาการอันทรงคุณค่า เป็นศูนย์กลางแห่งการศึกษาหาความรู้ทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ศิลปะและโบราณคดี รวมทั้งเป็นสถานที่ก่อเกิดให้กวีได้รับบันดาลใจ สร้างบทกวีอันไพเราะเป็นสมบัติในแวดวงวรรณกรรมของไทย นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งประวัติการสร้างพระปฐมเจดีย์ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเริ่มสร้างขึ้นในสมัยใด ใครเป็นผู้สร้าง มีเพียงการศึกษา แล้วสันนิษฐานจากหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ วรรณกรรม เรื่องเล่า ตำนาน หนังสือบันทึกการเดินทาง หนังสือบันทึกรายงาน คัมภีร์ต่าง ๆ ที่กล่าวถึง ตลอดจนศึกษาจากรูปแบบสถาปัตยกรรม ของโบราณสถานและรูปแบบศิลปะจากโบราณวัตถุ ที่ค้นพบในบริเวณพระปฐมเจดีย์ และในบริเวณใกล้เคียง
พระปฐมเจดีย์ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย
ศิลาจารึกที่กล่าวถึงพระปฐมเจดีย์ มีอายุเก่าแก่ที่สุดในช่วงเวลานี้ เป็นศิลาจารึกที่ได้ค้นพบในอุโมงค์
วัดศรีชุม โดย นายพลโท พระยาสโมสรสรรพการ เมื่อครั้งที่ท่านเดินทางไปสำรวจไปตรวจค้นศิลาจารึกเมืองสุโขทัย พ.ศ. ๒๔๓๐ ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ศิลาจารึกวัดศรีชุมมีลักษณะเป็นแผ่นหินอ่อนสีดำ สูง ๒ เมตร ๗๕ เซนติเมตร กว้าง ๖๗ เซนติเมตร หนา ๘ เซนติเมตร จารึกทั้งสองด้าน จะมีเส้นคั่น โดยด้านที่ ๑ มี ๑๐๗ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๙๕ บรรทัด การจารึก ด้านที่ ๑ จะขีดเส้นคั่นใต้บรรทัดที่ ๙๐ จากนั้นข้ามไปจารึกด้านที่สองตั้งแต่บรรทัดที่ ๑ ถึง ๘๗ จากนั้นขีดเส้นคั่นข้างใต้ จากนั้นกลับมาจารึกด้านที่ ๑ ตั้งแต่บรรทัดที่ ๙๑ไปจนหมดด้าน แล้วไปจารึกด้านที่ ๒ ตั้งแต่ บรรทัดที่ ๘๘ ไปจนหมดด้าน จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ราวพ.ศ.๑๙๑๒ หรือหลังจากนี้ เนื้อหาคำในศิลาจารึกหลักศิลาหลักนี้แบ่งออกได้เป็นหลายตอน คือ
ด้านที่ ๑ ตอนที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ - ๗ ชำรุดมาก แต่เข้าใจว่าเป็นคำนำมีชื่อพระมหาเถรศรีศรัทธาฯ
ตอนที่ ๒ บรรทัดที่ ๘ – ๒๐ เป็นประวัติพ่อขุนศรีนาวนำถม
ตอนที่ ๓ บรรทัดที่ ๒๑ – ๔๑ เป็นเรื่องพ่อขุนผาเมืองตั้งราชวงศ์สุโขทัย
ตอนที่ ๔ บรรทัดที่ ๔๑ – ๕๒ เป็นคำสรรเสริญพระมหาเถรศรีศรัทธา
ตอนที่ ๕ บรรทัดที่ ๕๓ – ๖๑ เป็นเรื่องอิทธิปากิหารในการเสี่ยงพระบารมี โดยวิธีการอธิ
ฐานต่างๆ ของพระมหาเถรศรีศรัทธาฯ
ด้านที่ ๑ และ ๒ ตอนที่ ๖ บรรทัดที่ ๖๑ ของด้านที่ ๑ – บรรทัดที่ ๕ ของด้านที่ ๒ เป็นเรื่องพระมหาเถรศรี
ศรัทธาฯ เมื่อยังอยู่ในคิหิเพศ แบ่งออกเป็น ๓ พลความ คือ
๑. ตั้งแต่บรรทัดที่ ๖๑ - ๗๕ เป็นเรื่องเจ้าเถรศรีศรัทธาฯ ทรงทำยุทธหัตถี กับ ขุนจัง
๒. ตั้งแต่บรรทัดที่ ๗๖ – ๗๙ เป็นเรื่องเจ้าเถรศรีศรัทธาฯ ทรงเจริญวัยเป็นหนุ่ม
๓. ตั้งแต่บรรทัดที่ ๗๙ ของด้านที่ ๑ – บรรทัดที่ ๕ ของด้านที่ ๒ เป็นเรื่องเจ้าศรีศรัทธาฯ ได้ทรงศึกษาศิลปวิทยาต่างๆ แล้ว และทรงเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย และมีศรัทธาเลื่อมใสออกผนวชในพระพุทธศาสนา
ด้านที่ ๒ ตอนที่ ๗ บรรทัดที่ ๖ – ๑๙ เล่าเรื่องพระมหาเถรศรีศรัทธาฯ ได้บำเพ็ญการกุศลและสร้าง
ถาวรวัตถุในที่ต่างๆ
ตอนที่ ๘ บรรทัดที่ ๒๐ – ๔๘ เป็นเรื่องที่พระมหาเถรศรีศรัทธาฯได้บูรณปฏิสังขรณ์วัด
มหาธาตุเมืองสุโขทัย
ตอนที่ ๙ บรรทัดที่ ๔๙ – บรรทัดสุดท้าย เป็นเรื่องการแสดงปาฏิหาริย์ของพระธาตุต่างๆ
[2]


ตอนที่กล่าวถึงการเดินทางมานมัสการและได้บูรณปฏิสังขรณ์ พระธม อยู่ในด้านที่ ๒ ระหว่างบรรทัดที่ ๑๘-๓๘ที่ตั้งของพระปฐมเจดีย์ แปลความตอนหนึ่งได้ว่า
“...ลางแห่งที่ชุมนุมพระมหาธา-
ตุเป็นเจ้าอันใหญ่ทั้งหลายตรธานเป็นป่าเป็นดงสมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีเป็-
นเจ้าเอาตนเข้าไปเลิกไปก่อกระทำพระมหาธาตุหลวงคืนพระมหาธาตุด้วยสูงเก้าสิบห้าวาไม้
เหนือพระธาตุหลวงไซร้สองอ้อมสามอ้อม พระศรีราชจุฬามุนีเป็นเจ้าพยายามให้แผ้วแ-
ล้วจึงก่ออิฐขึ้นเจ็ดวาสทายปูนแล้วบริบวรณ พระธาตุหลวงก่อใหม่เก่าด้วยสูงได้ร้อยสอ-
งวา ขอมเรียกว่าพระธมนั้นแล ๐ สถิตครึ่งกลางนครพระกฤษณ์ o เมื่อจักสทายปูนในกลางป่า
นั้นหาปูนยากหนักหนา หาปูนมิได้ พระศรีราชจุฬามุนีเป็นเจ้า จึงอธิฐานว่าดังนี้
....กูแลยังจะได้ตรัสแก่สรรเพญุเดญาณเป็นพระพุทธจริงว่าไซร้ จงให้พบปูน ค-
รั้นกูอธิฐานบัดแมงแห่งนั้น ตายกายพบโป่งปูน อนึ่งทายาดหนักหนา เอามาสทา-
ยพระธาตุก่อใหม่เก่าแล้วเอามาต่อพระพุทธรูปหินอันหักพังบริบวรแล้ว ปูนก็
ยังเหลือเลย o พระมหาธาตุหลวงนั้นกระทำปาฏิหาริย์อัศจรรย์หนักหนา และมีพระธา-
ตุอันใหญ่ล้อมหลายแก่กม o ก่อทั้งมหาพิหารใหญ่ด้วยอิฐเสร็จบริบวรณแล้วจึงไป
สืบค้นหาเอาพระพุทธรูปเก่าแก่แต่บูราณด้วยไกล ชั่วสองสามคืนเอามาประดิษฐานไว้
ในมหาพิหาร ลางแห่งได้คอได้ตน ลางแห่งได้ผมได้แขนได้อก ลางแห่งได้หัวตกไกล
แลสี่คนหาม เอามาจึงได้ o ลางแห่งได้แข้งได้ขา ลางแห่งได้มือได้ตีน ย่อมพระหินอันใหญ่
ชักมาด้วยล้อด้วยเกวียน เข็นเข้าในมหาพิหาร เอามาต่อติดประกิดด้วยปูน มีรูปโฉมพรรณอัน
งามพิจิตรดังอินทรนิรมิตเอามาประกิดชิดชนเป็นตนพระพุทธรูป อันใหญ่ อันถ่าว อัน
ราม งามหนักหนา เอามาไว้เต็มมหาพิหารเรียงหลายถ่อง ช่องงามแก่กม
.......ในมฌิมเทศในปาตลีบุตรนคร ใกล้ฝั่งน้ำอโนมานที พระศรีรัตนมหาธาตุเป็นเจ้าชื่อศรีธาญก
ดกา oพระกฤษณ์ พร...หากประดิษฐานoพระกฤษณ์นั้น คือตนพระมหาสามีศรีศรัทธา จุฬามุนีศรีรัตนลง-
กาทีปเป็นเจ้า คือตนพระรามพระนารายณ์เทพจยุติ หากเทียวในสงสารภพอันโทล เกิดมาแลo...”
[3]
จากเนื้อหาในศิลาจารึกทำให้ทราบว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๙๑๒ หรือหลังนั้นไม่นาน พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีศรีรัตนลังกามหาสามีเป็นเจ้า ซึ่งเป็นบุตรพระยาคำแหง (พระราม) เป็นหลานพ่อขุนผาเมือง รู้จักพระปฐมเจดีย์เป็นอย่างดี ว่าเป็นพระมหาธาตุขนาดใหญ่ อยู่ในที่รกร้างกลางป่า พื้นที่บริเวณนี้มีพระมหาธาตุมากมาย สร้างขึ้นมาตังแต่สมัยโบราณนานมาแล้ว ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จึงได้รวบรวมผู้คนมานมัสการและบูรณปฏิสังขรณ์ พระปฐมเจดีย์ จากเดิมที่เคยสูงประมาณ ๙๕ วาไม้ แล้วก่ออิฐสูงเพิ่มเติมอีก ๗ วา หลังจากบูรณะเสร็จแล้วสูง ๑๐๒ วา ในช่วงที่บูรณปฏิสังขรณ์อยู่ขาดแคลนปูนเป็นจำนวนมาก ด้วยในบริเวณพื้นที่ตั้งของพระมหาธาตุพระธม หรือพระปฐมเจดีย์ อยู่ในพื้นที่ราบลุ่ม ไม่มีแหล่งหินปูนที่จะนำมาบูรณปฏิสังขรณ์ แต่ด้วยแรงอธิฐานของพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี จึงได้พบโป่งปูน ที่พิเศษเป็นจำนวนมาก ส่วนของปูนที่พิเศษของพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี นั้นสันนิฐานว่า คงเป็นปูนที่นำซากปะการัง และเปลือกหอยทะเล นำมาเผาไฟแล้วตำให้ละเอียดนำไปหมักในน้ำอ้อย กลายเป็นปูนชั้นดี พื้นที่บริเวณนี้ปัจจุบันอยู่ไม่ไกลจากพระปฐมเจดีย์ แถบบริเวณอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
ในปัจจุบันนี้ยังพบหลักฐานเป็นซากปะการังและเปลือกหอยทะเลอยู่เป็นจำนวนมากในบริเวณพระปฐมเจดีย์ และเนื้อความในจารึกตรงกับรายงานการเจาะสำรวจความมั่นคงโครงสร้างภายในของพระปฐมเจดีย์ โดยกรมศิลปากร ในช่วง พ.ศ.๒๕๑๑ ตอนหนึ่ง ความว่า “ได้ทำการสำรวจเฉพาะส่วนที่สามารถตรวจสอบได้ โดยการเจาะรูขนาด ๕ เซนติเมตร เข้าไปภายในตรงแกนกลางเหนือบัลลังก์ ปรากฏผิวภายนอกเป็นอิฐก่อตันเข้าไปลึกประมาณ ๔.๑๕ เมตร จะมีช่องว่างระหว่างผิวภายนอกกับโครงสร้างภายใน ๒๐ เซนติเมตร เมื่อเจาะลึกต่อไปอีก เป็นอิฐก่อตันเข้าใจว่าเป็นยอดขององค์พระปฐมเจดีย์เดิม(พระปรางค์)สภาพภายในยังดีอยู่ ปูนก่อทำด้วยปูนหอยมิใช่ปูนหิน...”
[4] นอกจากการบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาธาตุแล้วยังได้ก่อสร้างมหาวิหารขนาดใหญ่ และได้รวบรวมชิ้นส่วนต่างๆ ของพระพุทธรูปหิน ในบริเวณใกล้เคียง มาต่อให้เป็นองค์สมบูรณ์ ด้วยปูนที่เหลืออยู่แล้วนำมาประดิษฐานเรียงกันเป็นแถวๆในมหาวิหารที่สร้างขึ้นใหม่
หลักฐานการบูรณปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ การก่อสร้างมหาวิหารตลอดจนถึงการรวบรวมชิ้นส่วนต่างๆ ของพระพุทธรูป มาซ่อมแซม ของพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีศรีรัตนลังกามหาสามี มีปรากฏอยู่จนถึงสมัยการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัย รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ดังปรากฏใน เรื่องพระปฐมเจดีย์ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ขำ บุญนาค) ตอนหนึ่งความว่า
“ ...พิเคราะห์ดูเห็นจะว่าจะเป็นองค์พระเจดีย์เดิมหักพังลงมา มีผู้สัทธามาเกลี่ยอิฐให้เป็นเกาะขึ้น แล้วมาก่อเป็นพระเจดีย์กลมขึ้นอีกคราวหนึ่งเหมือนอย่างพระเจดีย์ในเกาะลังกา ครั้นนานมายอดจะหักลงมาอีก จะมีผู้มาสัทธาปฏิสังขรณ์ขึ้นอีกคราวหนึ่ง จะเห็นว่าพระเจดีย์แหลมจะไม่มั่นคง จึงเกลี่ยที่ให้เสมอเพียงไหล่แล้วก่อองค์ปรางค์ต่อตั้งขึ้นไปแทนยอด ที่ริมขอบเว้นที่ก่อกำแพงแก้วไว้เป็นที่ทักษิณก่อบันไดลงมาถึงพื้นเนินเก่าพิเคราะห์ดูบันไดก่อทับองค์ระฆังเข้าไว้เห็นจะเป็นของทำทีหลัง แต่วิหารอยู่ด้านตะวันออกบนเนินเรียงกันอยู่ทั้งสี่วิหาร วิหารพระนาคปรกวิหารหนึ่งอยู่ข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถัดมาถึงพระวิหารพระไสยาสน์วิหารหนึ่ง วิหารไว้พระพุทธรูปต่าง ๆ วิหารหนึ่ง วิหารพระปาเลไลยที่สุดด้านตะวันออกเฉียงเหนือเป็นแถวกันมา แล้วมีพระเจดีย์ย่อม ๆ อีกหลายองค์ ไม่เป็นฝีมือในหลวงสร้าง เป็นฝีมือราษฏรชาวบ้านทำเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ เป็นของทำทีหลังแน่ทีเดียว ที่ของเดิมแท้ ๆ วิหารหลวงพระอุโบสถอยู่ที่พื้นแผ่นดิน วิหารอยู่ตรงเก๋งจีนแลพลับพลาทรงโปรดลงไป ด้วยเสาศิลาแลงมีปรากฏอยู่หลายต้น พระอุโบสถนั้นก็ตรงพระอุโบสถ เดี๋ยวนี้ลงไป...”
จากหลักฐานทั้งหมด ทำให้สามารถสันนิษฐานถึงการบูรณปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ของพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีศรีรัตนลังกามหาสามี ในสมัยนั้นออกเป็นแผนผังได้ดังนี้


พระปฐมเจดีย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชื่อของพระปฐมเจดีย์ ปรากฏอยู่ในสมุดภาพไตรภูมิสมัยกรุงศรีอยุธยา เลขที่ ๖ และเลขที่ ๘ มีรูปภาพและข้อความเป็นภาษาไทยโบราณ “ปทม” และใกล้กันเขียน “ปโทน” ที่ด้านล่างใต้ภาพบอกศักราชที่สร้างพระประโทณเจดีย์ว่า “ปโทนเมือสางศาสนาได้ ๑๑๙๙ ปี”

สมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา เลขที่ ๖ ไตรภูมิโลกสัณฐาน
สมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา เลขที่ ๖ ชื่อ ไตรภูมิโลกสัณฐานสมัยอยุธยา สมุดภาพไตรภูมิเล่มนี้ตามประวัติบันทึกไว้ว่าเป็นสมบัติเดิมของหอสมุดแห่งชาติ แต่ในหมายเหตุของบัญชีเอกสาร มีสำเนาการบันทึกของนายสมภพ จันทรประภา รองอธิบดีกรมศิลปากรได้ทำบันทึกแสดงความคิดเห็นเสนอ นายเดโช สวนานนท์ อธิบดีกรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๑ ว่าน่าจะเป็นสมุดภาพเล่มที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ กรมขุนราชสีห์(พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม ผู้กำกับกรมช่างศิลา และกรมช่างหมู่ในรัชกาลที่ ๔ พระนามเดิม พระองค์เจ้าชายชุมสาย)ลอกถ่ายลงมาจากจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์ของวัดราชประดิษฐาน ที่กรุงเก่า เมื่อคราวเสด็จไปทอดพระเนตรวัดนี้ เมื่อปีขาลอัฐศก จุลศักราช ๑๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๐๙) โดยอ้างหลักฐาน จากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือน ตอนพระราชพิธีเดือน ๙
[5] ความว่า
“...เมื่อปีขาลอัฐศก จุลศักราช ๑๑๒๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกรุงเก่า เป็นเวลากำลังสร้างวัดราชประดิษฐ์ที่กรุงเทพฯ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรวัดราชประดิษฐานที่กรุงเก่า ได้ทอดพระเนตรเห็นลายเขียนที่ผนังโบสถ์ มีรูปผู้หญิงสวมเครื่องประดับศีรษะต่าง ๆ ไม่เหมือนรัดเกล้าละคร ดำรัสว่าเป็นการแต่งตัวอย่างที่มีมาในกฎมนเฑียรบาล ด้วยวัดราชประดิษฐ์นั้นคงจะต้องสร้างก่อนในแผ่นดินพระไชยราชา จึงเป็นที่พระมหาจักรพรรดิ เมื่อยังเป็นพระเฑียรราชาออกไปผนวชอยู่วัดนั้น เป็นวัดของพระเจ้าแผ่นดินในบรมราชวงศ์เชียงราย ซึ่งสืบเนื่องมาตั่งแต่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงสร้าง ในขณะเขียนยังอยู่เกือบจะเต็มผนังทั้งแถบ ได้โปรดให้กรมขุนราชสีห์ลอกถ่ายลงมา...”
[6]
จากการวิเคราะห์อายุเอกสาร ของคณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ โดยพิจารณาจากลายละเอียดของในภาพ เชื่อว่าเป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยาแน่นอน แต่จะเป็นฉบับคัดลอกขึ้นใหม่หรือฉบับที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยานั้น เมื่อพิจารณานำมาเปรียบเทียบกับสมุดภาพไตรภูมิฉบับหลวงกรุงธนบุรี เลขที่ ๑๐ ที่มีบานแผนบอกศักราชไว้อย่างชัดเจน ดูจากสภาพการชำรุดเปื่อยยุ่ยของเอกสาร รูปแบบของตัวอักษรที่ใช้เขียนบรรยาย สรุปได้ว่า สมุดภาพไตรภูมิเล่มนี้น่าจะเป็นต้นฉบับฝีมือสมัยอยุธยาที่ตกทอดกันมามากกว่าจะเป็นฉบับที่คัดลอกขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔
เนื้อหาในเล่มไม่สมบูรณ์นัก แบ่งเป็น ๒ เรื่อง คือ หน้าต้นใช้บันทึกภาพเล่าเรื่องในไตรภูมิ โดยเริ่มจากภาพมหานครนิพพาน ภาพพระอริยบุคคล ๘ จำพวก ภาพอรูปพรหม รูปพรหม สวรรค์ชั้นต่างๆ ภาพเขาพระสุเมรุที่ล้อมรอบด้วยภูเขา มหาสมุทร และทวีปทั้งสี่ ไปจนถึงนรกขุมต่างๆ เปรต อสุรกาย และภาพพุทธประวัติ ซึ่งมีเหลือ ๑ ภาพเท่านั้น จึงจบหน้าต้น หน้าปลายเริ่มต้นด้วยแผนที่โบราณ แสดงภาพเมืองชายฝั่งทะเลตามความเข้าใจของผู้คนในสมัยนั้น สภาพบ้านเมือง และสถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ภาพป่าหิมพานต์ จากนั้นเป็นทศชาติชาดก เริ่มต้นจากพระชาติสุดท้าย มหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์ต่างๆ แล้วย้อนกลับมาต่อด้วยพระชาติที่ ๑ เตมิยชาดก จนถึงพระชาติที่ ๘ พรหมนารท โดยมีคำบรรยายสั้นๆ เขียนด้วยอักษรไทยโบราณ ภาษาไทยประกอบทุกภาพตลอดทั้งเล่ม
[7] โดยที่มีภาพพระปฐมเจดีย์ ปรากฏอยู่หน้าปลาย ภาพที่ ๗๘ วาดเป็นภาพพระปรางค์ มีคำบรรยายไว้ด้านซ้ายของภาพเขียนว่า “ปทม” ถัดไปทางขวามีภาพพระปรางค์เช่นเดียวกันแต่องค์ย่อมกว่าเล็กน้อย มีคำบรรยายใต้ภาพว่า “ปโทนเมือสางสาสนาได้๑๑๙๙” ถัดด้านบนของภาพพระปรางค์ มีกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ริมเส้นแม่น้ำ มีคำบรรยายว่า “ณคอรไชศรี”
สมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา เลขที่ ๘ ตอนนิริยกถา
สมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา เลขที่ ๘ ชื่อ แผนที่ไตรภูมิ (มีภาพระบายสี) ว่าด้วยตอนนิริยกถา สมุดภาพไตรภูมิเล่มนี้ มีประวัติกล่าวว่า เป็นมรดกของพระจักรพรรดิพงษ์ (เจ้ากรมจาด) และนางจีบ ภรรยา พระจักรพรรดิพงษ์ กับนายจิตรี บุตร ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายหอพระสมุดฯ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๗ สภาพของสมุดภาพมีขนาด กว้าง ๒๕ เซนติเมตร ยาว ๖๐ เซนติเมตร หนา ๘.๕ เซนติเมตร บันทึกข้อความทั้ง ๒ ด้าน ชำรุดมาก กระดาษเปื่อยยุ่ย เนื้อหาไม่ครบเล่ม ทั้งหน้าต้นและหน้าปลายขาดหายไปหลายหน้า รวมทั้งเนื้อหาในเล่มบางส่วนก็หลุดเปื่อยขาดหายไป ทำให้ข้อความและภาพบางส่วนไม่สมบูรณ์ ไม่มีบานแพนกที่จะสามารถตรวจสอบอายุของเอกสารได้ แต่เมื่อศึกษาจากภาพจิตรกรรมและเนื้อหาในเล่มแล้ว คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ สันนิษฐานว่าควรจะเป็นฝีมือในสมัยอยุธยา เนื้อหาภายในเล่ม แบ่งเป็น ๒ ส่วนอย่างเห็นชัดเจน กล่าวคือ หน้าต้นเป็นภาพเล่าเรื่องในไตรภูมิ โดยเริ่มจากภาพมหานครนิพพานไปจนถึงขุมนรกต่างๆ เปรตแต่ละจำพวก อสุรกาย แล้วต่อด้วยภาพพุทธประวัติ ภาพเล่าเรื่องมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์ต่างๆ จบด้วยเรื่องทศชาติ ตั้งแต่พระชาติที่ ๑ ถึงพระชาติที่ ๙ โดยมีคำบรรยายสั้นๆ เขียนด้วยอักษรไทย ภาษาไทย ประกอบทุกภาพตลอดเล่ม
[8] โดยที่มีภาพพระปฐมเจดีย์ ปรากฏอยู่หน้าปลาย ภาพที่ ๘๘ วาดเป็นภาพคล้ายพระปรางค์ ด้านล่างทำเป็นชุดฐานสิงห์ สีขาว มีคำบรรยายไว้ด้านซ้ายของภาพเขียนว่า “ปทม” ถัดไปทางขวามีภาพพระปรางค์เช่นเดียวกันแต่องค์เล็กกว่าลักษณะคล้ายกัน มีคำบรรยายใต้ภาพว่า “ปโทนเมือสางสาสนาได้๑๑๙๙” ถัดด้านบนของภาพพระปรางค์ อยู่ริมเส้นแม่น้ำ มีคำบรรยายว่า “ณครไชศรี”
เอกสารจากหอหลวง ประเทศพม่า
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่สำคัญ คือบันทึกคำให้การชาวกรุงเก่า ที่หอสมุดวชิรญาณ ได้รับต้นฉบับจากรัฐบาลอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษพบในหอหลวง ในพระราชวังของพระเจ้าแผ่นดินพม่าที่เมืองมัณฑะเลย์ เมื่อครั้งตีเมืองพม่าได้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ ในหนังสือเรื่องนี้ขุนนางพม่าชี้แจงว่า พระเจ้ากรุงอังวะ ให้เรียบเรียงจากคำให้การของพวกไทยที่ได้ไปครั้งตีกรุงศรีอยุธยา ได้บันทึกไว้เป็นภาษาพม่า ต่อมาทางคณะกรรมการได้มอบหมายให้นายมองต่อ ชาวพม่าแปลเป็นภาษาไทย โดยมีนายพันตรี หลวงโยธาธรรมนิเทศ(แจ่ม) นายแสง(เปรียญ) หลวงประพันธ์พัฒนาการ(ศร) พระยาโบราณราชธานินทร์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ช่วยกันตรวจแก้ถ้อยคำ
[9] ความตอนหนึ่งกล่าวถึงได้กล่าวความ ว่าด้วยสิ่งซึ่งเป็นหลักประธานเป็นศรีพระนคร
“อนึ่งสิ่งที่เปนหลักเปนประธานนคร แลเป็นที่เฉลิมพระเกียรตียศกรุงศรีอยุธยานั้นคือ พระที่นั่งมหาปราสาท ยอดปรางค์ ๓ องค์ยอดมณฑป ๑๑ องค์ รวมเป็น ๑๔ องค์ เปนพระราชมณเฑียรของพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์สืบมา...
พระมหาธาตุที่เปนหลักกรุงศรีอยุธยา ๕ องค์...
พระมหาเจดีย์ฐานที่เป็นหลักกรุง ๕ องค์...
พระมหาพุทธปฏิมากรที่มีพระพุทธานุภาพเปนหลักกรุงนั้น ๘ องค์ คือพระพุทธศรีศรรเพชรดาญาณยืนสูง ๘ วาหุ้มทองคำทั้งพระองค์อยู่ในพระมหาวิหารวัดพระศรีสรรเพชร...
พระพุทธไสยาศน์วัดป่าโมกขยาว...พระประทม พระประโทน เปนมหาธาตุใหญ่ อยู่ที่แขวงเมืองนครไชยศรีสององค์... สิ่งที่นี้เป็นศรีพระนครกรุงศรีอยุธยา สืบมาโบราณ”
[10]
ใบเสมาสมัยกรุงศรีอยุธยา
นอกจากหลักฐานเอกสารที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ในช่วงที่ได้ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ สมัยรัชกาลที่ ๔ ได้มีการทำรากพระอุโบสถ และรากโรงธรรม สร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ ในขณะนั้นมีการขุดพบใบเสมาหินทรายจำนวนหนึ่ง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๗ ในราว พ.ศ. ๒๔๖๓ ได้มีการปฏิสังขรณ์พระอุโบสถขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งก็ปรากฏว่าได้พบใบเสมา หินทรายสมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนที่เหลืออีก ดังปรากฏหลักฐานจากเอกสาร ร.๗ พ.๑ เป็นจดหมายที่หารือกันระหว่าง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นายกราชบัณฑิตยสภา กับ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัติวงศ์ เรื่องใบเสมาที่พบ โดยที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัติวงศ์ มีจดหมายทูลปรึกษาขอพระราชทานวินิฉัยเรื่องการเลือกใช้ใบเสมากับพระอุโบสถหลังใหม่ ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๔๗๑ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“...หินเสมา เข้าใจว่าของพระอุโสถเก่า ซึ่งทำขึ้นในรัชกาลที่ ๔ รื้อเก็บไว้มีอยู่สำหรับหนึ่ง และเข้าใจว่าว่าขุดรากลงไปพบเสมาเก่า ยุคทวารวดีได้กระมั่ง อยู่ใต้ดินอีกสำหรับหนึ่ง ปัญหาจึงมีอยู่สามอย่างว่าควรจะใช้เสมาสำหรับไหน (๑) ถ้าใช้สำหรับศรีวิชัยจะได้ชื่อทางโบราณคดี (๒)ถ้าใช้สำหรับรัชกาลที่ ๔ จะได้บำรุงรักษาพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(๓)ถ้าทำใหม่จะได้ความงาม จะสมควรปฏิบัติสถาน ใดขอประทานพระดำริห์วินิจฉัย...”
[11] และต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้มีจดหมายตอบกลับ ความตอนหนึ่งว่า
“ใบเสมาพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์นั้น เมื่อบอกว่าพบของเก่าหม่อมฉัน “หูผึ่ง” รีบไปดู แต่ไปเห็นเข้าออกจะเสียใจ ด้วยเป็นเสมาศิลาแดงซึ่งเห็นที่อื่นอยู่หลายแห่ง และไม่ถึงเป็นอย่างดีที่สุดของเสมาชนิดนั้น เช่นที่วัดมหาธาตุเมืองเพชรบุรี สันนิษฐานว่าพระอุโบสถนั้นจะเป็นของสร้างขึ้นภายหลังพวกลังกาวงศ์เข้ามาอยู่เมื่อเมืองอู่ทอง ยังเป็นประเทศราช ไม่ถึงชั้นสมัยทวารวดี...”
[12]
ใบเสมาสมัยอยุธยาที่กล่าวถึงนั้นปัจจุบันยังเก็บรักษาไว้ที่ในระเบียงคต ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน ๘ หลักด้วยกัน เป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงการก่อสร้างพระอุโบสถในสมัยอยุธยา โดยมีตำแหน่งตรงกับพระอุโบสถหลังปัจจุบัน แต่ทว่าอยู่ในระดับพื้น

พงศาวดารเหนือ
หลักฐานที่ยืนยันถึงการสร้างพระปฐมเจดีย์ ในสมัยอยุธยาที่ปรากฏอยู่ในลักษณะ เรื่องเล่า นิทานพื้นบ้าน มีการนำมารวบรวมเรียบเรียง ในแผ่นดินสมเด็จพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นหนังสือพงศาวดารเหนือที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชการที่ ๒ เมื่อครั้งแต่ยังดำรงพระเกียรติยศเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้มีรับสั่งให้พระวิเชียรปรีชา (น้อย) เป็นผู้รวบรวมเรื่องมาเรียบเรียง เมื่อปีเถาะนพศก จุลศักราช ๑๑๖๙ พ.ศ. ๒๓๕๐ โดยมีความตอนต้นกล่าวถึงการเรียบเรียงว่า
"ข้าพระพุทธเจ้า พระวิเชียรปรีชาน้อยเจ้ากรมราชบัณฑิตย์ขวาได้รับพระราชทานเรียงเรื่องสยามราชพงษาวดารเมืองเหนือ ตั้งแต่พระธรรมราช สร้างเมืองสัชชนาไลยเมืองสวรรคโลก ได้เสวยราชสมบัติ ทรงพระนามพระเจ้าธรรมราชาธิราช เปนลำดับลงมาจนถึงพระเจ้าอู่ทอง สร้างกรุงศรีอยุทธยาโบราณราชธานี โดยกำลังสติปัญญาสักกานุรูปอันน้อย ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ขอเดชะ"
ในการเรียบเรียง หนังสือพงศาวดารเหนือ ของพระวิเชียรปรีชา (น้อย) นั้น ได้รวบรวมหนังสือที่มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา จดจำเป็นเรื่องราวต่าง ๆ กัน วิธีเรียบเรียงค่อนข้างจะไขว้เขวสับสน บางครั้งเรื่องเดียวกันเล่าซ้ำเป็นสองหนก็มี โดยมีเรื่องต่าง ๆ อาทิเช่น เรื่อง บานแพนกเดิม เรื่อง พระราชพงษาวดารเหนือ เรื่องพระยาสักรดำตั้งจุลศักราช เรื่อง
สร้างเมืองสวรรคโลก ยกบาธรรมราชขึ้นเปนพระยาธรรมราชาครองเมืองสวรรคโลก เรื่องพระร่วงอรุณกุมารเมืองสวรรคโลก เรื่องสร้างเมืองพิศณุโลก เรื่องพระร่วงเมืองศุโขไทย เรื่องพระเจ้าสายน้ำผึ้ง เรื่องพระยากง เรื่องพระเจ้าอู่ทอง เป็นต้น โดยเรื่องที่การถึงการสร้างพระปฐมเจดีย์ปรากฏอยู่ในเรื่องพระยากง ได้กล่าวว่า
“๏ ขณะนั้นพระยากง ได้ครองเมืองกาญจนบุรี พระอรรคมเหษีทรงพระครรภ์ ให้หาโหรมาทำนายว่าจะเปนหญิงฤๅชาย โหรพิเคราะห์ดูก็รู้ว่าจะเปนพระราชกุมาร โหรจึงกราบทูลว่า พระราชกุมารนี้มีบุญมากนัก ใจก็ฉกรรจ์ จะฆ่าพระราชบิดาเสียเปนมั่นคง ครั้นทรงพระครรภ์แก่ กำหนดจะประสูตรพระราชกุมาร พระราชบิดาเอาพานรับพระราชกุมาร พระนลาตกระทบขอบพานเปนรอยบู้อยู่เปนสำคัญ พระยากงมาคิดแต่ในพระไทยว่าจะเอากุมารนี้ไว้มิได้ พระ ยากงให้เอาพระราชกุมารไปฆ่าเสีย มารดารู้ว่าพระราชบิดาจะเอาบุตรไปฆ่าเสีย นางคิดกรุณาแก่บุตรยิ่งนัก จึ่งทำอุบายถ่ายเทปกปิดเสียให้กลบเกลื่อนสูญไปด้วยความคิดของนาง จึงลอบเอากุมารราชบุตรอายุ ๑๑ เดือนไปให้ยายหอมเลี้ยงไว้ ครั้นจำเริญไวยใหญ่ขึ้น ยายหอมจึงเอากุมารไปให้พระยาราชบุรีเลี้ยงเปนบุตรบุญธรรม พระยาราชบุรีให้ดูแลการงานเบ็ดเสร็จทุกสิ่ง ครั้นถึงเทศกาลเอาดอกไม้ทองเงินไปถวายพระยากงทุกปีมิได้ขาด บุตรบุญธรรมจึงถามว่า ทำไมเอาดอกไม้ทองเงินไปให้พระยากาญจนบุรีด้วยเหตุอันใด พระยาราช บุรีบิดาเลี้ยงจึงว่าเราเปนเมืองขึ้นแก่เขา พระราชบุตรตอบว่า ไม่เอาไปให้นั้นจะเปนประการใด พระยาราชบุรีว่าไม่ได้ เขาจะว่าเราคิดขบถ จะยกทัพลงมาจับเราฆ่าเสีย พระราชบุตรว่ากลัวอะไร พระยาราชบุรีก็นิ่งอยู่ ถึงปีแล้วหาเอาดอกไม้ทองเงินไปไม่ พระยากงเจ้าเมืองกาญจนบุรี เห็นว่าพระยาราชบุรีเปนขบถ เกณฑ์พลลงมาจะจับพระยาราชบุรีฆ่าเสีย ครั้นพระยาราชบุรีรู้ดังนั้น จึงเกณฑ์คนประจำน่าที่ ให้บุตรบุญธรรมเปนแม่ทัพ ยกออกรับทัพพระยากาญจนบุรี ๆ ครั้นมาใกล้ประมาณ ๓๐ เส้น ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้แล้วให้มีหนังสือให้คนถือเข้าไปถึงพระยาราชบุรีเปนใจความว่า ให้พระยาราชบุรีออกมาหาเรา แม้นมิออกมาหาเราจะปล้นเอาเมือง พระยาราชบุรีทราบดังนั้น ปฤกษากับบุตรบุญธรรมว่าจะคิดประการใดดี ราชบุตรจึงว่าจะขออาสาชนช้าง พระราชบิดาก็จัดช้างพลายงางอนสูง ๖ ศอกผูกเครื่องมั่น ให้บุตรบุญธรรมเปนนายทัพ ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกออกไป พระยากงเห็นดังนั้น ก็ผูกช้างพลายมงคลออกมาท่ามกลางพล เข้าโจมไล่ช้างพระราชกุมาร ๆ รับช้างพระยากง ๆ เสียทีขวางตัวทานบมิอยู่ พระราชกุมารจ้วงฟันพระยากงตายกับฅอช้าง ไพร่พลนายทัพนายกองแตกรส่ำรสายหารับไม่ หนีไปเมือง พระราชกุมารขับพลไล่รุกขึ้นไปถึงเมืองกาญจนบุรีเข้าล้อมเมืองไว้ แล้วเข้าปล้นเอาเมืองได้ โหรา ปโรหิตจึงยกพระราชกุมารขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามชื่อพระยาพาน ครั้นเข้าประถมยาม พระยาพานก็เข้าไปข้างใน ตั้งใจหมายจะสังวาศด้วยมารดา ก็เข้าไปในตำหนัก วิฬาร์แม่ลูก ๆ ร้องจะกินนม แม่ห้ามลูกไว้ว่าอย่าร้องไป ดูลูกเขาจะเข้าหาแม่ พระยาพานก็สดุ้งตกใจ ไฉนวิฬาร์มาร้องดังนี้ก็ถอยออกมา ครั้นถึงทุติยยามก็กลับเข้าไปอิก ม้าแม่ลูกอยู่ที่ใต้ถุน ลูกนั้นร้องจะกินนม แม่ม้าจึงว่า อย่าเพ่อกินก่อน ดูลูกเขาจะเข้าไปหาแม่ พระยาพานตกใจ เหตุ ไฉนม้าจึงว่าดังนี้ ก็ถอยออกมา ครั้นถึงตติยยาม ก็กลับเข้าไปอิกถึงมารดา ๆ จึงถามว่าท่านเปนบุตรผู้ใด พระยาพานบอกว่าเปนบุตรพระยาราชบุรี มารดาจึงถามว่า พระยาราชบุรีได้มาแต่ไหน เจ้านี้เปนลูกของข้า เมื่อประสูตรบิดาเอาพานทองรับ พระภักตร์กระทบพานเปนรอยบู้อยู่ ถ้ามิเชื่อส่องพระฉายดูเถิด พระองค์คือลูกของข้า โหรทำนายว่ามีบุญนัก บิดาจึงให้เอาเจ้าไปฆ่าเสีย แม่จึงเอาไปฝาก ยายหอมไว้ พระยาพานได้สำคัญเปนแน่ก็ทรงพระกรรแสงว่าได้ผิดแล้วฆ่าบิดาเสียดังนี้เศร้าพระไทยนัก จึงตรัสว่ายายหอมหาบอกให้รู้ไม่ก็ให้เอายายหอมไปฆ่าเสีย แร้งลงกิน จึงเรียกว่าท่าแร้งมาจนคุ้มเท่าบัดนี้
๏ ขณะเมื่อพระยาพานฆ่าบิดากับยายเลี้ยงคิดเปนเวร ตั้งแต่ทำบุญให้ทานแก่ยาจกวรรณิพกมิได้ขาดเปนนิตย์ พระอรรคมเหษีมีครรภ์แก่ประสูตรพระกุมารพระองค์หนึ่ง พระองค์เสน่หาในพระราชบุตรเปนกำลัง จึงทรงพระดำริห์ว่าบิดารักเราผู้บุตร เหมือนหนึ่งเรารักพระราชโอรสเราฉนี้ มิควรที่เราจะกระทำเลย เพราะว่าเราเปนคนโมหจิตร มิได้คิดให้ผิด ด้วยเราหารู้ไม่ฉนี้ ก็เสียพระไทยสลดลง จึงปฤกษากันว่าทำไฉนจึงจะล้างกรรมเวรอันนี้ได้ ทรงพระดำริห์ว่ายังเห็นอยู่แต่องค์พระคิริมานนท์พอจะส่องสว่างได้ จึงให้อำมาตย์ราชเสวกาไปอาราธนาพระคิริมานนท์ แลพระองคุลิมาล มาฉันในพระมณเฑียรสถานให้ได้โดยเร็ว อำมาตย์ก็ชวนกันไปเที่ยวอาราธนาพระคิริมานนท์ พระ องคุลิมาล ซึ่งได้พระอรหัตตรัสรู้ธรรมพิเศษ เข้ามารับบิณฑบาตฉันในพระราชวัง ครั้นเพลาเช้าก็เข้าไปในพระราชวัง พระยาพานกราบนมัสการ ถวายเครื่องสูปะพยัญชนะแล้วเสร็จ ยกพระหัดถ์ขึ้นนมัส การตรัสถามพระผู้เปนเจ้าว่า โยมนี้เปนคนมืดมนท์หารู้จักคุณแลโทษไม่ ฆ่าบิดาเสียฉนี้ผิดนักหนาแล้ว โยมนี้ทำผิดจะคิดหาความชอบ ฉนี้เห็นจะเปนประการใด พระมหาเถรทั้งสองถวายพระพรว่า มหาบพิตรทำให้ผิดประเพณีให้เปนครุกรรมถึงบิตุฆาฏ จะไปสู่มหาอเวจีช้านานนัก นี่หากว่าพระองค์รู้สึกตัวว่าทำผิดคิดจะใคร่หาความชอบ จะให้ตลอดไปนั้นมิได้ แต่ว่าจะบำบัดเบาลง ๑๐ ส่วนเท่า คงอยู่สักเท่าส่วน ๑ ให้ก่อพระเจดีย์สูงชั่วนกเขาเหินจะค่อยคลายโทษลง พระยาพานได้ฟังดังนั้นก็เลื่อมไสศรัทธา พระมหาเถรทั้งสองก็ลาไปอาราม ครั้นพระมหาเถรไปแล้ว จึงดำรัสสั่งให้เสนาบดีคิดการสร้างพระเจดีย์ใหญ่สูงชั่วนกเขาเหิน สร้างวัดเบื้องสูงท่าประธมทำพระวิหาร ๔ ทิศไว้พระจงกรมองค์ ๑ พระสมาธิทั้ง ๓ ด้าน ประตูแขวนฆ้องใหญ่ปากกว้าง ๓ ศอกทั้ง ๔ ประตู ทำพระรเบียงรอบพระวิหาร แล้วบรรจุพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้วในพระเจดีย์ใหญ่เสร็จแล้ว ฉลองเล่น มโหรศพครบ ๗ วัน ๗ คืน ให้ทานยาจกวรรณิพกแล้ว ให้บุรณพระแท่นประสูตรพระพุทธเจ้าณเมืองโกสินาราย
๏ จุลศักราช ๕๕๒ ปีเถาะโทศก พระยาพานยกทัพขึ้นไปเมืองลำพูนไปนมัสการพระบรมธาตุพระพุทธเจ้า ถึงสามปีแล้วก็ยกทัพกลับลงมาเมืองใต้ จึงปรายเงินทองต่างเข้าตอกดอกไม้ ถวายพระบรมธาตุ มาทุก ๆ ตำบล มาแต่เมืองลำพูนลำปาง ลงมาทางเดิมบางนางบวชจนถึงเมืองนครไชยศรีสิ้นเก้าปี รู้ทั่วกันว่าพระยาราชบุรีเปนบิดาเลี้ยงจะมาจับ ก็ยกทัพหนีขึ้นไปยังประเทศราช เสนาบดีจึงเชิญขึ้นครองราชสมบัติ ๔๙ ปีสวรรคต จุลศักราช ๖๖๙
๏ มีพระราชบุตรองค์หนึ่ง เสนาบดีมุขมนตรีทั้งหลายยกพระราชกุมารขึ้นเสวยราไชสวรรยาธิปัติ ถวายพระนามพระพรรษา ราษฎรเปนศุขยิ่งนัก ตั้งแต่นั้นมาได้ ๙๐ ปี สร้างวัดศรีสรรเพชญ์ วัดสวนหลวง พระองค์เสด็จสวรรคต จุลศักราช ๙๐๖ ปีวอกฉศกพระรามบัณฑิตย์ได้เสวยราชสมบัติ ถวายพระนามสมเด็จพระรามพงษ์บัณฑิตย์อุดมราชาปิ่นเกล้าพระเจ้าอยู่หัว เสด็จยังพระที่นั่งจัตุรมุขเบื้องบุรพา จึงมีพระราชโองการ ตรัสแก่ขุนวิชาชำนาญธรรมเปนนักปราชผู้ใหญ่ว่าด้วยจุลศักราชนั้น มากำกับอยู่ด้วยพระพุทธศักราชนั้นหาควรไม่ ไปภายน่า กุลบุตรจะเกิดมาเมื่อภายหลัง น้ำใจก็จะกระด้างทั้งปัญญาก็จะน้อย ทั้งมิจฉาทิฐิก็จะมากกว่าสัมมาทิฐิ ครั้นจะไว้จุลศักราชต่อไปบัดนี้ พระพุทธศักราชจะฟั่นเฟือนไป ด้วยมิจฉา ทิฐิ จะยกย่องแต่ฝ่ายจุลศักราช พระพุทธจักรก็จะอยู่ในอำนาจอาณาจักร ทั้งอายุสัตวก็จะถอยจากเดือนปี ประเพณีจะแปรปรวนไปทุกที จึงมีพระราชโองการดำรัสแก่มหาโชติพราหมณ์กับขุนวิชาชำนาญธรรม ให้ยกจุลศักราชออกเสีย ให้ตั้งพระพุทธศักราชไว้เปนกำหนดสืบไป พระพุทธศักราชล่วงได้ ๙๕๕ พรรษานักษัตรกุกกุฏะสังวัจฉรศรีธนญไชยสร้างวัดโลกสุธาพระใจร้าย พระพุทธศักราชได้๙๕๗พรรษา นักษัตรสังวัจฉร พระสังฆราชลงมาแต่เมืองหงษาวดี จะลงมาถามถึงอัตถกถาจะเสื่อมสูญฤๅยัง ผู้ใดจะทรงไว้ได้ทั้งพระไตรปิฎก อยู่วัดโพธิ์หอม
ขณะนั้นองค์อินทร์เปนเชื้อมาแต่พระยากาฬปักษ์ มาได้ราชสมบัติได้ ๓๕ ปี สร้างวัดน่าพระเมรุ ไว้เปนหลักพระพุทธสาสนา จุลศักราช ๙๐๐ ปีชวดสัมฤทธิศกเสด็จสวรรคต”
[13]
จากเนื้อความในพงศาวดารเรื่องพระยากง จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้ มีการกล่าวถึงบ้านเมือง และเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนจะสร้างกรุงสมัยกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ที่เกี่ยวข้องกับพระปฐมเจดีย์ คือ ตอนที่กล่าวถึงการที่พระยาพานดำรัสสั่งให้เสนาบดีคิดการสร้างพระเจดีย์ใหญ่สูงชั่วนกเขาเหิน สร้างวัดเบื้องสูงท่าประธมทำพระวิหาร ๔ ทิศไว้พระจงกรมองค์ ๑ พระสมาธิทั้ง ๓ ด้าน ประตูแขวนฆ้องใหญ่ปากกว้าง ๓ ศอกทั้ง ๔ ประตู ทำพระระเบียงรอบพระวิหาร แล้วบรรจุพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้วในพระเจดีย์ใหญ่เสร็จแล้ว ฉลองเล่น มโหรศพครบ ๗ วัน ๗ คืน จากพงศาวดารเรื่องนี้ทำให้สันนิษฐานได้ว่าคงนำโครงเรื่องมาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องการสร้างพระปฐมเจดีย์ ของชาวบ้านแถบนี้มีสืบต่อมา
สรุปพระปฐมเจดีย์ ในช่วงสมัยสุโขทัย ถึงสมัยอยุธยา คือราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๓
จากหลักฐานที่ปรากฏทั้งศิลาจารึกของพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี สมัยสุโขทัย ภาพจากสมุดภาพไตรภูมิสมัยกรุงศรีอยุธยา เลขที่ ๖ และเลขที่ ๘ สมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลายและจากบันทึกคำให้การชาวกรุงเก่า ในเอกสารหอหลวง ประเทศพม่า หลังจากเสียกรุงใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ใบเสมา หินทรายแดง ศิลปะสมัยอยุธยา ตลอดจนเรื่องพระยากง จากพงศาวดารเหนือ ทำให้เห็นภาพว่าพระปฐมเจดีย์ ในอดีตเป็นพระมหาธาตุขนาดใหญ่ เป็นสถานที่เคารพของประชาชนคนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ขุนนาง พระภิกษุ สามเณร ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่อยู่ใกล้หรือไกลเดินทางมานมัสการ บูรณปฏิสังขรณ์ ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย สิ่งที่น่าสังเกตุคือจากหลักฐานชื่อของพระปฐมเจดีย์ที่ปรากฏในศิลาจารึก หลักที่ ๒ วัดศรีชุม ด้านที่ ๒ เรียกพระปฐมเจดีย์ ว่า “พระธม” ซึ่งว่า “ธม” ในภาษเขมร แปลว่า “ใหญ่” ความหมายโดยรวมคือพระเจดีย์ หรือพระธาตุใหญ่ ครั้นต่อมาสมัยอยุธยา ปรากฏหลักฐานในสมุดภาพไตรภูมิ เล่ม ๖ ชื่อ ไตรภูมิโลกสัณฐานและสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา เลขที่ ๘ ชื่อ แผนที่ไตรภูมิ ตอนนิริยกถา มีการบันทึกชื่อพระปฐมเจดีย์ ว่า “ปทม” ซึ่งแปลว่า “นอน” ความหมายโดยรวมคือพระเจดีย์ หรือพระธาตุพระพุทธเจ้าเสด็จมาบรรทมที่นี่ โดยมีการแต่งนิทานผู้เรื่องเข้าไปอีกเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่ทว่าการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าภายหลังจากที่พระมหาเถรศรีศรัทธาธาราชจุฬามุนี มาบูรณปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์เสร็จแล้ว ครั้นต่อมาในสมัยอยุธยา คงมีกลุ่มคนมาก่อสร้างวิหารพระไสยาสน์ บนเกาะอิฐ ด้านทิศตะวันออกหน้าพระปฐมเจดีย์ หรือด้านหลังมหาวิหารที่พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ สร้างไว้ ด้านในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป ปางไสยาสน์ ยาว ๘ เมตร คนทั่วไปจึงเรียกพระปฐมเจดีย์ตามวิหารใหม่ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นว่า “พระปทม” ซึ่งแปลว่าพระนอน หรือพระไสยาสน์ ดังลายละเอียดที่กล่าวต่อไป
พระปฐมเจดีย์ในสมัยรัตนโกสินทร์
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฤดูแล้ง ปี พ.ศ. ๒๓๗๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งทรงผนวชเป็นพระวชิรญาโณภิกขุ ได้เสด็จธุดงค์มาทรงนมัสการพระประธม พร้อมด้วยพระสงฆ์ที่ตามหลายรูป ทรงมีพระราชดำริว่าพระเจดีย์องค์นี้น่าจะมีความสำคัญ ไม่ควรที่จะทิ้งให้รกร้างอยู่กลางป่า เมื่อเสด็จกลับกรุงเทพมหานคร ทรงได้ถวายพระพร กับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงโปรดเพราะทรงเห็นว่าเป็นเจดีย์อยู่ในป่า การจะบูรณะขึ้นมาใหม่จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด
โคลงนิราศพระประธมประโทน ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราช
ในปี พุทธศักราช ๒๓๗๗ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท
[14] ครั้งยังดำรงพระยศเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวงษาสนิท (ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓) เดินทางมานมัสการพระปฐมเจดีย์ แล้วแต่งนิราศพระประธม[15]ขึ้น เนื้อความในโคลงเป็นการพรรณนาถึงนางอันเป็นที่รัก และการเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ครั้งนั้นทรงเดินทางไปทางน้ำด้วยเรือจากกรุงเทพมหานคร และต่อทางบกด้วยช้าง ผ่านหมู่บ้านต่างๆ และป่ารก พรรณนาเรื่องดอกไม้ต่าง ๆ จนถึงพระปฐมเจดีย์ แบ่งเนื้อหาออกเป็นบท จำนวนทั้งสิ้น ๒๑๕ บท บางตอนกล่าวว่า
“ ...เห็นวิหกนกไม้ ไป่เพลิน
ขับคชย่างบาทสเทิน เร่งเร้า
ถึงพนัสพนมเนิน สถูปพระ ประทมแม่
ประทับช้างต่างเข้า สู่เบื้องบันได ฯ
ขึ้นบนลานพระแล้ว ปรีดา
จุดเทียนบูชา ทุกผู้
แต่เรียมนึกปรารถนา จักเสี่ยง เทียนเฮย
หวังจิตร์คิดใคร่รู้ ร่วมได้ฤาเสีย ฯ
จุดเทียนสองเล่มแล้ว อธิฐาน
แม้จักได้ วิวาหการ กับน้อง
จงเรืองโรจนเสมอสมาน ทั่งคู่ เทียนแฮ
หากห่อนได้ร่วมห้อง ดับสิ้นแสงสูญ ฯ...”
[16]

จากเนื้อหาของนิราศแสดงให้เห็นว่า พระปฐมเจดีย์สมัยนั้นยังเป็นป่ารกอยู่ แต่คงมีทางเดินสำหรับเข้าไปนมัสการได้ และสามารถเดินขึ้นไปถึงลานประทักษิณเพื่อสักการบูชาพระเจดีย์ใหญ่ได้ นอกจากนั้นยังได้กล่าวถึงต้นโพธิ์เตี้ยที่หมู่บ้านโพธิ์เตี้ยว่าพระยาพาลเป็นผู้ปลูกไว้หลังจากที่สำนึกผิดที่ได้กระทำปิตุฆาต การเดินไปในครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปพระปฐมเจดีย์ หลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งทรงผนวชเป็นพระวชิรญาโณภิกขุ เดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์เพียงสามปี
นิราศพระแท่นดงรัง ของ หมื่นพรหมสมพัตสร
ในปีพุทธศักราช ๒๓๗๙ หมื่นพรหมสมพัตสร (นายมี หรือเสมียนมี) ได้เดินทางเพื่อไปนมัสการพระแท่นดงรัง และเดินทางผ่านพระปฐมเจดีย์และพระประโทนจึงได้แวะนมัสการ ในช่วงเวลานี้กล่าวได้ว่าพระปฐมเจดีย์ คงเป็นที่รู้จักดีในเมืองหลวง หลังจากที่พระวชิรญาโณภิกขุ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ได้เดินทางมานมัสการพระปฐมเจดีย์
การเดินทางของหมื่นพรมสมพัตสรในครั้งนั้น ได้พรรณนาถึงการเดินทางไปนมัสการการพระแท่นดงรังพร้อมกับการพรรณนาถึงคนรักที่จากมา เมื่อผ่านมาที่พระประโทนก็หยุดนมัสการและเดินทางต่อเพื่อมานมัสการพระปฐมเจดีย์ โดยกล่าวว่าพระปฐมเจดีย์เป็นพระเจดีย์ใหญ่ทรงปรางค์ตั้งอยู่ในป่ารกร้าง เมื่อไปถึงก็ขึ้นบันไดไปนมัสการถึงชั้นประทักษิณ และกล่าวถึงตำนานว่า พระยาพานเป็นผู้สร้างพระปฐมเจดีย์เพื่อล้างกรรมที่ได้ฆ่าพ่อของตนเอง เนื้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“ ...ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์ เป็นบ้านคนใหญ่โตรโหฐาน
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดาร ตำข้าวสารกรอกหม้อแต่พอกิน
ดูเหย้าเรือนเคหาน่าสังเวช เต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชิน ไม่ทิ้งถิ่นที่ทางให้ร้างโรย
แต่ตัวเราร้างนุชมาสุดเนตร แสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย
ไม่มีความแช่มชื่นสะอื้นโอย มีแต่โกยทุกข์ล้นมาเดินทาง
ดูคนอื่นชื่นแช่มเขาแย้มยิ้ม ไม่เหงาหงิมเหมือนพี่ที่หมองหมาง
พูดผู้หญิงหยอกเอินให้เพลินพลาง มาตามทางหิมวันสนั่นมาฯ
ถึงพระโฑณารามพราหมณ์เขาสร้าง เป็นพระปรางค์แต่บูราณนานนักหนา
แต่ครั้งตวงพระธาตุพระศาสดา พราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่งคง
บรรจุพระทะนานทองของวิเศษ พี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์
จุดธูปเทียนอภิวันท์ด้วยบรรจง ถวายธงแพรผ้าแล้วลาจร
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่ คนตัดใช้ทุกกอตอสลอน
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอน บ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มซุก บ้างกกกุกเขี่ยดินกินลุกขลุ่ย
พอเห็นคนวนบินดินกระจุย เห็นรอยคุ้ยรอบข้างหนทางจรฯ
บรรลุถึงพระประธมประทับหยุด สัปบุรุษเซ็งแซ่แลสลอน
แวะขึ้นไปไหว้พระประธมประณมกร สโมสรโสมนัสนมัสการ
ต่างระรื่นชื่นจิตพิศวง เทียวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บูราณ สูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร
มีบันไดขึ้นไปถึงทักษิณ แลเห็นสิ้นทุกทิศจิตสยอง
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอน ระเนนนอนแนบชิดติดสุธา
ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบคัน เป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลา มีพฤกษาร่มรื่นเป็นพื้นทราย
พี่ชมพลางทางนบอภิวาท สุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย
สัปบุรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชาย กราบถวายวันทาแล้วลาลง
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาส ดูอนาถน้ำจิตพิศวง
บริเวณวัดวาเป็นป่าดง ดูงวยงงร่วงรามาช้านาน
พระประธมของบรมกษัตริย์สร้าง เป็นพระปรางค์ใหญ่โตรโหฐาน
สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยาน พระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม
เธอหลงฆ่าบิตุรงค์ทิวงคต เขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ เธอทำผิดคิดเห็นไม่เป็นธรรม จึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามาก เมื่อยามยากนึกไปฤทัยหมอง
ไหว้พระปรางค์ทางนึกระลึกน้อง ให้ตามตรองเตรียมใจครรไลลา
มาถึงเกวียนเจียนใจจะขาดหาย เหลียวดูซ้ายแล้วก็แปรมาแลขวา
เห็นผู้หญิงอื่นอื่นไม่ชื่นตา แล้วรีบมาพร้อมกันสนั่นดังฯ...”
[17]

นิราศพระประธม ของ สุนทรภู่
อีก ๖ ปี ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๓๘๕ สุนทรภู่ ได้เดินทางไปนมัสการพระประธม แล้วแต่งนิราศพระประธมขึ้น นิราศเรื่องนี้เป็นนิราศที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางไปเมืองนครชัยศรีและเรื่องราวของพระประธมเจดีย์มากที่สุด เนื้อหานิราศพระประธมของสุนทรภู่ได้พรรณนาถึงการเดินทางทางน้ำ ผ่านสภาพแวดล้อมและหมู่บ้านต่างๆ และมาขึ้นบกที่บ้านธรรมศาลาเพื่อเดินทางทางบกต่อไปยังพระปฐมเจดีย์ โดยได้บรรยายถึงสภาพของพระปฐมเจดีย์ในขณะนั้นว่าบุด้วยดีบุกจนถึงยอดนพศูล บริเวณรอบๆ พระปฐมเจดีย์เป็นป่ารกพบไก่ป่า รอยกวางและเนื้อทรายเป็นอันมาก สุนทรภู่ได้ขึ้นไปนมัสการพระปฐมเจดีย์บนลานประทักษิณและลงมาเดินเที่ยวบริเวณรอบๆ มีสระน้ำทั้งสี่มุม มีพระนอนองค์ใหญ่ และกล่าวถึงตำนานเรื่องพระยากง พระยาพาน ซึ่งได้จากการไถ่ถามชาวบ้าน เป็นประวัติของการสร้างพระปฐมเจดีย์ตามความรับรู้ในช่วงเวลานั้นด้วยดังนิราศที่พรรณนาไว้บางตอน
...ครั้นถึงวัดพระประธมบรมธาตุ สูงทายาทอยู่สันโดษบนโขดเขิน
แลทะมึนทึนเทิ่งดังเชิงเทิน เป็นโขดเขินสูงเสริมเขาเพิ่มพูน
ประกอบก่อย่อมุมเป็นซุ้มมุข บุดีบุกบรรจบถึงนภศูล
เป็นพืดแผ่นแน่นสนิททั้งอิฐปูน จนเพิ่มพูนพิสดารอยู่นานครัน
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวรอบขอบข้างล่าง ล้วนรอยกวางทรายเกลื่อนไก่เถื่อนขัน
สะพรั่งต้นคนทาลดาวัลย์ ขึ้นพาดพันพงพุ่มชอุ่มใบ
เห็นห้องหับลับลี้เป็นที่สงฆ์ เที่ยวธุดงค์เดินมาได้อาศัย
พลอยศรัทธาพาเพลินเจริญใจ ถึงบันไดดูโกรกชะโงกงัน
เห็นสูงสุดหยุดแลชะแง้แหงน ถึงมาตรแม้นบรรลัยคงไปสวรรค์
ต่างอุตสาห์พยายามต้องตามกัน ขึ้นถึงชั้นบนได้จิตใจมา
สงสารสุดบุตรน้อยก็พลอยขึ้น ไม่เมื่อยมึนเหมือนผู้ใหญ่ไวหนักหนา
ประนมมือถือประทีปเทียนบูชา ตั้งวันทาทักษิณด้วยยินดี
ได้สามรอบชอบธรรมเป็นกำหนด กราบประณตกรประนมก้มเกศี
ถวายธูปเทียนบุบผาสุมาลี กับเทียนที่ฝากถวายนั้นหลายคน
เจ้าของคิดอธิษฐานที่บ้านแล้ว จงผ่องแผ้วผิวพักตร์ถึงมรรคผล

สาธุสะพระประธมบรมธาตุ จะทรงศาสนาอยู่ไม่รู้สูญ
ข้าทำบุญคุณพระช่วยอนุกูล ให้เพิ่มพูนสมประโยชน์โพธิญาณ
หนึ่งขอฝากปากคำทำหนังสือ ให้สืบชื่อชั่วฟ้าสุธาสถาน
สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักรพาล พระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร
อนึ่งมนุษย์อุตริติต่างต่าง แล้วเอาอย่างเทียบทำคำอักษร
ให้ฟั่นเฟือนเหมือนเราสาปในกาพย์กลอน ต่อโอนอ่อนออกชื่อจึงลือชา
อนึ่งหญิงทิ้งสัตย์เราตัดขาด ถึงเนื้อน้ำธรรมชาติไม่ปรารถนา
ขอเดชะพระมหาอานิสงส์ ซึ่งเราทรงศักราชพระศาสนา
เสน่ห์ไหนให้คนนั้นกรุณา เหมือนในอารมณ์รักประจักษ์ใจ
หนึ่งน้องหญิงมิ่งมิตรพิศวาส ซึ่งสิ้นชาติชนม์ภพสบสมัย
ขอคุณพระอานิสงส์ช่วยส่งไป ถึงห้องไตรตรึงส์สถานพิมานแมน
เป็นคู่สร้างทางกุศลจนสำเร็จ สรรเพชญโพธิญาณประมาณหหมาย
ยังมิถึงซึ่งนิพพานสำราญกาย จะกลับกลายเป็นไฉนอย่าไกลกัน
แม้นเป็นไม้ให้พี่นี้เป็นนก ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์
แม้นเป็นนารีผลวิมลจันทร์ ขอให้ฉันเป็นพระยาวิชาธร
แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นแมงภู่ ได้ชื่นชูสู่สมชมเกสร
เป็นวารีพี่หวังเป็นมังกร ได้เชยช้อนชมชะเลทุกเวลา
แม้นเป็นถ้ำน้ำใจใคร่เป็นหงส์ จะได้ลงสิงสู่ในคูหา
แม้นเนื้อเย็นเป็นเทพธิดา พี่ขออาศัยเสน่ห์เป็นเทวัญ
กว่าจะถึงซึ่งมหาศิวาโมกข์ เป็นสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์
เสวยสวัสดิ์ชัชวาลนานอนันต์ เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร
แล้วกราบลาพระประธมบรมธาตุ เลียบลีลาศแลพินิจทุกทิศา
เห็นไรไรไกลสุดอยุธยา ด้วยสุธาถมสูงที่กรุงไกร
ที่อื่นเตี้ยเรี่ยราบดังปราบเรี่ยม ด้วยยื่นเยี่ยมสูงกว่าพฤกษาไสว
โอ้เวียงวังยังเขม้นเห็นไรไร แต่สายใจพี่เขม้นไม่เห็นทรง
ยิ่งเสียวเสียวเหลียวย้ายทั้งซ้ายขวา ล้วนทุ่งนาเนินไม้ไพรระหง
ภูเขาเคียงเรียงรอบเป็นขอบวง ในแดนดงดูสล้างล้วนยางยูง
ที่ทุ่งโกงโรงเรือนดูเหมือนเขียน เห็นช้างเจียนจะเท่าหมูเพราะอยู่สูง
เขาต้อนควายหมายผูกจมูกจูง เป็นฝูงฝูงไรไรทุกไร่นา
ในอากาศดาษดูล้วนหมู่นก บ้างเวียนวกวนร่อนว่อนเวหา
เห็นนกไม้ไพรวันอรัญวา สะอื้นอาลัยเหลียวด้วยเปลี่ยวใจ
บนประธมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยรื่น กระพือผืนผ้าปลิวหวิวหวิวไหว
เสียงฮือฮือรื้อร่ำยังค่ำไป อนาถใจจนสะอื้นกลืนน้ำตา
เห็นไรไรไม้งิ้วละลิ่วเมฆ ดังฉัตรเฉกชื่นชุมพุ่มพฤกษา
สูงสันโดษโสดสุดจึงครุฑา เธอแอบอาศัยสถานพิมานงิ้ว
เห็นไม้งามนามไม้อาลัยมิตร รำคาญคิดเขินขวยระหวยหิว
ฉิมพะลีปลีอ่อนเกสรปลิว มาริ้วริ้วรื่นรื่นชื่นชื่นใจ
โอ้ยามจนอ้นอั้นกระสันสวาท คิดถึงญาติดังจะพาน้ำตาไหล
แกล้งแลเลยเชยชมพนมไพร พระปรางค์ใหญ่เยี่ยมฟ้าสุธาธาร
ที่ริมรอบขอบคันข้างชั้นล่าง เอาอิฐขว้างดูทุกคนไม่พ้นฐาน
แลข้างบนคนข้างล่างที่กลางลาน สุดประมาณหมายหน้านัยน์ตาลาย
แล้วลาพระจะลงดูตรงโกรก สูงชะโงกเงื้อมไม้จิตใจหาย
เมื่อขึ้นนั้นขั้นกระไดขึ้นง่ายดาย จะลงเห็นเป็นว่าหงายวุ่นวายใจ
ต้องผินผันหันหลังลงทั้งสิ้น ถึงแผ่นดินยินดีจะมีไหน
เที่ยวชมวัดทัศนาศาลาลัย ต้นโพธิ์ไทรสูงสูงทั้งยูงยาง

ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ มะตูมตาดต้นเอื้องมะเฟืองฝาง
นมสวรรค์ลั่นทมต้นนมนาง มีต่างต่างตันอกตกตะลึง
นมสวรรค์ฉันดูสู้ไม่ได้ เหมือนเตือนใจให้นึกรำลึกถึง
เห็นเล็บนางหมางเมินเดินรำพึง ชมกระทึงดอกดวงพวงพยอม
พิกุลใหญ่ใต้ต้นหล่นแฉล้ม ดูกลีบแซมชื่นเชยระเหยหอม
ผลลูกสุกห่ามงามงามงอน แต่แตนตอมต่อผึ้งหึ่งหึ่งฮือ
เห็นนกเปล้าเขาไฟฝูงไก่เถื่อน เที่ยวเดินเกลื่อนกลางดินบ้างบินปรื๋อ
เหล่าลูกเล็กเด็กใหญ่ไล่กระพือ มันบินรื้อร่อนลงข้างดงดอน


ทั้งสระมีสี่มุมปทุมชาติ ระดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน
บ้างร่วงโรยโปรยปรายกระจายจร หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นลอย
มีเต่าปลาอาศัยอยู่ในน้ำ บ้างผุดดำโดดคะนองพ่นฟองฝอย
ฝูงกริมกรายรายเรียงขึ้นเคียงคอย จะคาบสร้อยเสาวคนธ์ว่ายวนเวียน
เหมือนด้วยรักหนักหน่วงไม่ร่วงหล่น ให้เวียนวนหวั่นจิตตะขวิดตะเขวียน
แสนสนุกรุกขชาติดาษเดียร เที่ยวเดินเวียนวนชมประธมทอง
โบสถ์วิหารท่านสร้างแต่ปางก่อน มีพระนอนองค์ใหญ่ยังไม่หมอง
หลับพระเนตรเกศเกยเขนยทอง ดูผุดผ่องพูนเพิ่มเติมศรัทธา
โอ้เอ็นดูหนูตาบจะกราบก้ม เปลื้องผ้าห่มนอบนบจบเกศา
ขึ้นห่มพระอธิษฐานให้มารดา พลอยน้ำตาตกพรากเพราะยากเย็น
แม้นยังอยู่คู่เชยไม่เลยละ มาไหว้พระก็จะพามาให้เห็น
โอ้ชาตินี้มีกรรมจึงจำเป็น มาแสนเข็ญขาดมิตรสนิทใน
กราบพระเจ้าเศร้าจิตคิดสังเวช โอ้น้ำเนตรเอ๋ยกลืนก็ขืนไหล
สารพัดตัดขาดประหลาดใจ ตัดอาลัยสวาทไม่ขาดความ
แกล้งพูดพาตาเฒ่าพวกชาวบ้าน คนโบราณรับไปได้ไถ่ถาม
เห็นรูปหินศิลาสง่างาม เป็นรูปสามกษัตริย์ขัตติยวงศ์
ถามผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้ หวังจะให้ทราบความตามประสงค์
ว่ารูปทำจำลองฉลององค์ พระยากงพระยาพานกับมารดา...”
[18]
จานิราศพระประทมของสุนทรภู่ ทำให้เห็นสภาพแวดล้อม ลักษณะของพระปฐมเจดีย์ ตลอดจนการรับรู้เรื่องราวต่างๆ ของพระปฐมเจดีย์ในช่วงเวลานั้นได้ดี กล่าวคือ
๑. พระปฐมเจดีย์ตั้งบนเนินคล้ายกับเชิงเทิน ที่เกิดจากการก่อสร้างของมนุษย์
๒. พระปฐมเจดีย์ถูกหุ้มด้วยแผ่นดีบุก ตลอดขึ้นไปจนถึงนพศูล
๓. พระปฐมเจดีย์ก่อเป็นปรางค์ มีการย่อมุม ทำเป็นซุ้มมุข
๔. ที่เนินคล้ายกับเชิงเทิน มีพระสงฆ์เข้ามาเจาะช่อง ทำเป็นห้องกุฏิ
๕. มีบันไดที่ตั้งชันสูงขึ้นไป
๖. ฐานกว้างมาก ขนาดขว้างอิฐจากลานประทักษิณด้านบนออกไปไม่พ้นฐาน
๗. ที่บริเวณรอบองค์พระปฐมเจดีย์มีสระน้ำอยู่ ๔ มุม
๘. เป็นที่รกร้าง มีต้นไม้นานาพรรณ มีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่ในบริเวณพระปฐมเจดีย์
๙. มีการแกะหิน เป็นรูปสามกษัตริย์ เล่าเรื่องพระยากง พระยาพาน และมารดา
๑๐. พื้นที่รอบพระปฐมพระปฐมเจดีย์เป็นที่ราบ

บูรณปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ ในสมัยราชกาลที่ ๔
ในปี พ.ศ. ๒๓๙๓
[19] หลังจากสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระวชิรญาโณภิกขุ ทรงลาผนวช เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากพระองค์ทรงครองราชย์ได้สองปี ในพ.ศ. ๒๓๙๖ ทรงโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์พระประธมเจดีย์ แขวงเมืองนครไชยศรี ดังปรากฏในเรื่องพระปฐมเจดีย์ ฉบับ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ขำ บุนนาค) เรียบเรียงไว้ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริห์ว่า ที่เมืองนครชัยศรีมีพระเจดีย์ใหญ่องค์หนึ่ง เป็นเจดีย์ยอดปรางค์ตอนหนึ่ง ฐานล่างกลมเป็นรูประฆังตอนหนึ่ง พิเคราะห์ดูเห็นจะทำมาหลายคราว ราษฏรเรียกว่าพระปทม ด้วยความประสงค์ของคนทั้งหลายว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาบรรทมอยู่ที่นั้น แต่เห็นว่าไม่ถูกด้วยได้ทอดพระเนตรเห็นหนังเก่า ๆ เห็นไว้ว่าพระปฐมเจดีย์ แต่เมื่อก่อนยังไม่ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้เสด็จไปนมัสการหลายครั้ง เป็นมหาเจดีย์ใหญ่กว่าพระเจดีย์ในประเทศสยามทุก ๆ แห่ง สืบดูทั้งพระราชอาณาจักร ฝ่ายเหนือตั้งแต่เชียงแสนเชียงใหม่ตลอดลงมา ฝ่ายใต้จนถึงเมืองนครศรีธรรมราช แลเมืองลาวเมืองเขมร ฝ่ายตะวันออก พระสถูปเจดีย์ซึ่งจะโตใหญ่กว่าพระปฐมเจดีย์ไม่มี พิเคราะห์ดูเห็นจะเป็นของเก่ามาช้านานก่อนพระเจดีย์ในประเทศสยาม จึงได้เรียกว่าพระปฐมเจดีย์ ทอดพระเนตรดูฝีมือการทำอิฐแลก่อเห็นจะเป็นของทำแล้งแก่เก่ามาหลายครั้งหลายคราว ที่เป็นเนินใหญ่เป็นกองอิฐพังลงมา ได้ชันสูตรขุดลงไปดูลึกสองศอกสามศอกบ้าง พบอิฐยาวศอกหนึ่งหน้าใหญ่สิบสองนิ้วก็เป็นพื้นอยู่ พิเคราะห์ดูเห็นจะว่าจะเป็นองค์พระเจดีย์เดิมหักพังลงมา มีผู้สัทธามาเกลี่ยอิฐให้เป็นเกาะขึ้น แล้วมาก่อเป็นพระเจดีย์กลมขึ้นอีกคราวหนึ่งเหมือนอย่างพระเจดีย์ในเกาะลังกา ครั้นนานมายอดจะหักลงมาอีก จะมีผู้มาสัทธาปฏิสังขรณ์ขึ้นอีกคราวหนึ่ง จะเห็นว่าพระเจดีย์แหลมจะไม่มั่นคง จึงเกลี่ยที่ให้เสมอเพียงไหล่แล้วก่อองค์ปรางค์ต่อตั้งขึ้นไปแทนยอด ที่ริมขอบเว้นที่ก่อกำแพงแก้วไว้เป็นที่ทักษิณก่อบันไดลงมาถึงพื้นเนินเก่าพิเคราะห์ดูบันไดก่อทับองค์ระฆังเข้าไว้เห็นจะเป็นของทำทีหลัง แต่วิหารอยู่ด้านตะวันออกบนเนินเรียงกันอยู่ทั้งสี่วิหาร วิหารพระนาคปรกวิหารหนึ่งอยู่ข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถัดมาถึงพระวิหารพระไสยาสน์วิหารหนึ่ง วิหารไว้พระพุทธรูปต่าง ๆ วิหารหนึ่ง วิหารพระปาเลไลยที่สุดด้านตะวันออกเฉียงเหนือเป็นแถวกันมา แล้วมีพระเจดีย์ย่อม ๆ อีกหลายองค์ ไม่เป็นฝีมือในหลวงสร้าง เป็นฝีมือ
ราษฏรชาวบ้านทำเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ เป็นของทำทีหลังแน่ทีเดียว ที่ของเดิมแท้ ๆ วิหารหลวงพระอุโบสถอยู่ที่พื้นแผ่นดิน วิหารอยู่ตรงเก๋งจีนแลพลับพลาทรงโปรยลงไป ด้วยเสาศิลาแลงมีปรากฏอยู่หลายต้น พระอุโบสถนั้นก็ตรงพระอุโบสถ เดี๋ยวนี้ลงไป กุฏิสงฆ์อยู่หน้ากะเปาะข้างทิศใต้ ด้วยเห็นของสำคัญหลายอย่าง คือสระน้ำแลถนนอิฐปูเป็นพื้น ที่จอมปลวกใหญ่ก็รื้อได้พระพุทธรูปในนั้นยังปรากฏอยู่ วัดเดี๋ยวนี้ที่พระสงฆ์อยู่เป็นของย้ายมาทีหลัง เมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่องค์พระปรางค์เห็นจะเป็นของหลวง ได้โปรดให้วัดองค์พระตั้งแต่พื้นแผ่นดินขึ้นไปถึงหลังเกาะสูงสี่วาบ้างห้าวาบ้าง ด้วยแผ่นดินไม่เสมอกัน ตั้งแต่หลังเกาะขึ้นไปเป็นองค์พระเจดีย์กลม สูงสิบสี่วาสองศอก ปรางค์สูงยี่สิบวา ยอดนพศูลข้นไปแปดศอก รวมตั้งแต่หลังเกาะขึ้นไปตลอดยอดนพศูล คิดได้สี่วาสองศอก...”
[20]
จากความที่เจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ขำ บุนนาค) เรียบเรียงไว้ ทำให้เห็นสภาพรูปแบบทางสถาปัตยกรรม ตลอดจนรูปแบบแผนผังที่ตั้งต่าง ๆ ในรอบบริเวณของพระปฐมเจดีย์ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ก่อนได้บูรณปฏิสังขรณ์ได้ โดยนำหลักฐานที่มีทั้งหมดตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา มาประมวลผลเข้าด้วยกัน กล่าวคือ ส่วนองค์พระเจดีย์นั้นมีการสร้างเสริมต่อเติมหลายครั้งด้วยกัน โดยแบ่งเป็นช่วงต่าง ๆ ดังนี้
๑. ใช้อิฐก่อเป็นเนินใหญ่พูนเป็นเกาะ คล้ายกับ สถูปสาญจิ ในอินเดีย สูงจากพื้นประมาณ ๘ – ๑๐ เมตร
๒. เกลี่ยอิฐที่หักพังลงมาเป็นเกาะ ปรับด้านบนให้ราบเรียบ แล้วก่อเป็นพระเจดีย์ทรงกลม ยอดทรงกรวย คล้ายเจดีย์ถูปารามในประเทศศรีลังกา โดยมีความสูงต่อเนินใหญ่ขึ้นไปจนถึงปลายทรงระฆังประมาณ ๔๑ เมตร
๓. ต่อมายอดเจดีย์ทรงลังกายอดหักลง ก็มีคนเกลี่ยด้านบนให้เสมอไหล่แล้วก่อองค์ปรางค์ขึ้นไป ตรงบริเวณไหล่ที่เกลี่ยให้เสมอนั้นทำเป็นลานประทักษิณ มีกำแพงแก้วโดยรอบ แล้วก่อบันไดจากพื้นถึงลานประทักษิณ พระปรางค์สูงต่อจากองค์ระฆังองค์เดิม ประมาณ ๔๐ เมตร นพศูลสูง ประมาณ ๔ เมตร รวมความสูงตั้งแต่หลังเกาะเนินอิฐขึ้นไปจนถึงยอด ประมาณ ๘๕ เมตร วัดจากพื้นถึงยอดนพศูล รวมสูงประมาณ ๙๓ – ๙๕ เมตร(ตรงกับความในศิลาจารึก ที่พบที่วัดศรีชุม ของพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี)
***ใส่รูปวาดหรือแบบจำลอง
ในส่วนแผนผัง ที่ตั้งอาคารอื่น ๆ ประกอบไปด้วย
๑. ที่ระดับพื้นทางด้านทิศตะวันออก ตรงช่วงระหว่างวิหารเก๋งจีนกับพลับพลาทรงโปรยลงไป มีวิหาร
หลวงเก่า เสาทำด้วยศิลาแลง (สันนิษฐานสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย ตรงกับจารึกหลักที่ ๒ วัดศรีชุม
ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๒๙)
๒. ในระดับพื้นถัดวิหารหลวงมาทางด้านทิศตะวันตก ตรงพระอุโบสถในปัจจุบันลงไป เป็นพระอุโบสถ
เก่าสมัยอยุธยา เนื่องจากพบใบเสมาสมัยอยุธยา ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
๓. หลังวิหารเก๋งจีนขึ้นไปบนเนินเกาะทางด้านทิศตะวันออกจะมีวิหาร ๔ วิหารเรียงกันเป็นแถวตามแนว
เหนือ – ใต้ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา เพราะในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย ไม่ได้กล่าวถึงประกอบไปด้วย
- วิหารพระป่าเลไลย์
- วิหารไว้พระพุทธรูปต่าง ๆ
- วิหารพระไสยาสน์
- วิหารพระนาคปรก
นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์ย่อม ๆ อีกหลายองค์ เป็นฝีมือราษฏรชาวบ้านทำเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ
โดยมีวิหารพระไสยาสน์ อยู่ในแนวตะวันออก – ตะวันตก เดียวกับวิหารหลวงเก่าที่สร้างขึ้นในสมัย
สุโขทัย ตามปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒ และพระปฐมเจดีย์ โดยวิเคราะห์เอกสารเพิ่มเติมของ
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ขำ บุญนาค) ตอนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน
ไปทรงสักการะและสมโภชพระปฐมเจดีย์ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๔๐๐ เนื้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“...ครั้นเวลาบ่ายห้าโมงเศษ เสด็จขึ้นประทับพลับพลาบนเนิน ฐานพระปฐมเจดีย์ ฟังพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ แล้วเสด็จพระราชดำเนินประทักษิณรอบหนึ่ง แล้วทรงจุดดอกไม้เพลิงกระทำสักการบูชา พอจุดฝักแคก็เห็นดวงย้อยออกมาตามซุ้มคูหาข้างบุรพทิศ รัศมีขาวตกลงมาหายไปที่หลังวิหารพระไสยาสน์เก่า ซึ่งอยู่ที่วิหารหลวงเดี่ยวนี้ บรรดาพระบรมวงศ นุวงศ์ข้าราชการที่เฝ้าอยู่บนนั้นได้เห็นก็เป็นอันมาก คนจำพวกที่อยู่ไกลได้เห็นก็ว่าดวงดาวตก...”
[21]
๔. หมู่กุฏิสงฆ์เดิมเคยอยู่ด้านทิศใต้ของพระปฐมเจดีย์ ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ทางด้านทิศเหนือของพระปฐม
เจดีย์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
๔. สระน้ำและถนนปูด้วยอิฐ
****ใส่รูปแผนผังประกอบ

การบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งแรก เริ่มต้นขึ้นในวันอังคารเดือนยี่ขึ้นห้าค่ำ ปีฉลูเบจศก จุลศักราช ๑๒๑๕ ตรงกับวันอังคารที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๖
[22] โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูวงศ์(สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่)เป็นแม่กองปฏิสงขรณ์ โดยก่อสร้างตามที่ปรากฏในหนังสือ เรื่อง พระปฐมเจดีย์ ฉบับ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ความว่า
“ก็ครั้งนี้ได้เถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ควรกระทำตามพระราชประสงค์ไว้แต่เดิม จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ช่างทหารใน ต่อตัวอย่างถวาย เป็นรูปพระเจดีย์กลม ฐานทักษิณไม่มี ก่อเป็นหน้ากระดานแลช่องกระจกขึ้นไปจนถึงบัวถลา แล้วชักลูกแก้วเข้าไปทั้งสามชั้น จึงตั้งบัวกลมปากระฆัง ตัวอย่างพระเจดีย์ตามรูปเดิมเสร็จแล้ว จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ คือ สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ เป็นแม่กองเจ้าของการ ให้พระศรีสมบัติ หลวงพิทักษ์โยธา หลวงนราเรืองเดช เจ้ากรมไพร่หลวงอาสาใหม่ หลวงโยธาไพจิตร ช่างทหารใน ออกไปเป็นนายงานทำ ได้ลงมือถางต้นไม้บนองค์พระแลถางที่ขุดคลอง
ครั้นมาถึงวันอังคารเดือนยี่ขึ้นห้าค่ำ ปีฉลูเบจศก จุลศักราชพันสองร้อยสิบห้าปี เพลายามเศษเห็นที่องค์พระปรางค์เป็นดวงกลมออกจากซุ้มคูหาฝ่ายอุดรทิศดวงโตเท่าผลสมเกลี้ยง มีรัศมีสว่างขึ้นไปเบื้องบนถึงยอดนพศูล เบื้องต่ำถึงชั้นทักษิณเดิม แล้วก็หายไป ได้จับการทำมาได้ปีเศษ สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ให้ซื้ออิฐมีผู้มารื้อขายที่วัดเก่า ๆ บ้าง แลให้ทำขึ้นบ้าง ก่อฐานขึ้นไปได้แปดศอก”
[23]
การก่อสร้างได้ดำเนินการเรื่อยมา จนถึงวันที่ ๒๕ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๓๙๘ สมเด็จสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูวงศ์(สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่)แม่กองปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ ถึงแก่พิราลัย สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพระยารวิวงศ์ ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เป็นแม่กองคุมงานการปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ต่อ
เริ่มศึกษาประวัติความเป็นมาของพระปฐมเจดีย์
ในช่วงบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์นั้น ปรากฏว่าเริ่มทำการศึกษาประวัติความเป็นมาของพระปฐมเจดีย์คือ สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงสักการะมาบูรณปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ แขวงเมืองนครไชยศรี ในวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๐๐ ได้ชัณสูตรขุดลงไปลึกสองศอก สามศอกบ้าง พบอิฐยาวศอกหนึ่ง หน้าใหญ่สิบสองนิ้ว หน้าน้อยหกนิ้ว ได้พบโบราณวัตถุสำคัญ ๔ อย่าง ดังปรากฏ ใน พระนิพนธ์ เรื่องพระปฐมเจดีย์ ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ความตอนหนึ่งว่า
“...แต่เมื่อทำการในพระปฐมเจดีย์มานั้น ได้ของแปลกกว่าของสามัญควรจะเชื่อเป็นพยานได้สี่อย่าง ได้ในพระปฐมเจดีย์มานั้นบ้าง ได้ในวัดอื่นในเมืองนครไชยศรีนั้นบ้าง เป็นรูปพระพิมพ์แต่ไม่มีผ้าพาด พระพักตร์ของพระองค์ดูประหลาดแปลกกว่าพระทุกวันนี้ อย่างหนึ่งเป็นพระอิทธิญาณอย่างหนึ่ง เป็นพระทำปาฏิหาริย์นั่งในสระบนดอกบัว มีเทวราชกับทั้งบริวารถือดอกบัวมาบูชาอย่างหนึ่ง เป็นรูปพระยืนมีรูปเทวดายืนแอบด้านละองค์แล้วมีหนังสือบูราณแกะในพิมพ์ติอยู่ข้างหน้าสองบรรทัดบ้าง จาฤกไว้ ข้างหลังสี่บรรทัดบ้างทุกองค์ไป เป็นหนังสืออันมนุษย์ชาวไทยอ่านไม่ออก อย่างหนึ่งเป็นแผ่นอิฐศิลา จาฤกเป็นหนังสือเช่นนั้นบรรจุไว้ในพระเจดีย์ ในหนังสือนั้นว่า เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา เป็นต้นไปจนถึง มหาสมโณ เป็นที่สุดเหมือนกันกับหนังสือที่องค์พระ จงได้จำไว้อันนี้ เป็นธรรมเนียมเก่าเขาใช้ในเมืองนั้น นี่เป็นเหตุให้ได้ความสำคัญสังเกตรู้ว่า พระเจดีย์นี้ได้ประดิษฐานตั้งอยู่ก่อนเจดีย์ทั้งปวงบันดามีในสยามราชอาณาเขต อิกอย่างหนึ่งเขาขุดได้จักรศิลาที่คนแต่ก่อนทำบูชาพระไว้ในวัดเก่า ๆ จมอยู่ใต้ดินมีอยู่หลายอัน นี่ก็ได้รู้ว่าเมืองนี้แต่ก่อนเห็นจะเป็นเมืองโตใหญ่ ไพบูลย์ด้วยโภไคยไอยศวรรย์ สมบัติเป็นเมืองอันพระมหากระษัตริย ได้ครอบครอง...”
[24]
จากพระนิพนธ์ ดังกล่าวทำให้ทราบว่า ในช่วงเวลาขณะนั้นเป็นที่สังสัยเป็นอย่างมากว่า พระปฐมเจดีย์ใครเป็นคนสร้างและสร้างขึ้นในสมัยใด ได้เพียงสันนิฐานจากหลักฐานที่พบเจอ ๔ อย่างคือ
๑.พระพิมพ์ดินเผา ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ ไม่มีผ้าพาด
พระพักตร์ลักษณะดูประหลาดแปลกกว่าพระพิมพ์ใน สมัยลพบุรี สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์ที่รู้จักกันในขณะนั้น
๒. พระพิมพ์ดินเผา ปางยมกปาฏิหาริย์ และพระพิมพ์ดินเผา ประทับนั่งปางสมาธิบนดอกบัว มีพระ
โพธิสัตว์และเทวดา บริวารถือดอกบัวมาสักการบูชา
๓. แผ่นอิฐขนาดใหญ่ มีจารึกเป็นอักษรอินเดียใต้ ภาษาบาลี มีข้อความว่า
“ เยธมฺมา เหตุปฺปภวา เตส เหตุ ตถาคโต
อาห เตสญฺจโย นิโรโธ เอว วาทีมหาสมโณ”
ปรากฏอยู่ด้านหน้า สองบรรทัด หรือบางครั้งปรากฏอยู่ ด้านหลังสี่บรรทัดบ้าง
๔. ศิลาธรรมจักร ที่จมดินอยู่หลายวงด้วยกัน
จากหลักฐานสี่อย่างที่พบ ทำให้พอสันนิฐานไว้ว่า พระปทมเจดีย์คงจะสร้างขึ้นในสมัยก่อนจะมีชาวสยามอย่าง จากนั้นทรงมีพระราชดำริให้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับพระปทมเจดีย์ โดยที่พระองค์ได้ไปสืบค้นจากคัมภีร์ต่าง ๆ ในพุทธศาสนา ได้พบว่าในคัมภีร์มหาวงศ์ ซึ่งเป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาประเภทพงศาวดารของลังกา เดิมเป็นภาษาบาลี แต่งเป็นคาถา ๖ ตอน แบ่งเรื่องออกเป็น ๑๐๑ ปริเฉก มีผู้แต่งเรื่องหลายท่าน หลายสมัย ในตอนแรก ตั้งแต่ปริเฉกที่ ๑ถึงปริเฉกที่ ๓๘ แต่งโดยท่านมหานาม สันนิษฐานว่าแต่งในสมัยพระเจ้าธาตุเสน ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ แต่งเป็นร้อยกรอง โดยนำเนื้อหาจำนวนหลายเรื่องจากอรรถกถา เริ่มด้วยพุทธประวัติจนจบ และโยงเข้าหาพงศาวดาร ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ระบุว่าหลังจากการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ ที่เมืองปาฏลีบุตร โดยพระโมคคลีปุตตะ ติสสะ เป็นประธาน ซึ่งใช้เวลา ๙ เดือน พระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งสมณทูต ไปเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนในดินแดนต่างๆ ถึง ๙ แห่ง
[25] ดังนี้
๑. สมณทูตมัชฌันติกะ (มัธยานทิน) ไปยังแคว้นแคชมีร์และคานธาระ
(รวมเปษวาร์และราวาปินดี ในแคว้น ปัญจาป ซึ่งอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย)
๒. สมณทูตมหาเทวะ ไปยังมหิษมณฑล (พื้นที่ทางตอนใต้ของเทือกเขา วินธัย ในภาคกลางด้านตะวันตก
ของอินเดีย)
๓. สมณทูตรักขิตะ ไปยังวนวาสี บริเวณภาคใต้ของอินเดีย
๔. สมณทูตธรรมรักขิตะ ไปยังอปรานตะ (พื้นที่ทางตอนเหนือของแคว้นคุชราต กเถียร์วาร กัจฉะ
และสินท์ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศอินเดีย)
๕. สมณทูตมหาธรรมรักขิตะ ไปยังมหารัฏฐะ (แคว้นมหาราษฏระ ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวมาราฐี
บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย )
๖. สมณทูตมหารักขิตะ ไปยังประเทศยวนะ (กรีกซึ่งอยู่ทางชายแดน ตะวันตกของประเทศอินเดีย)
๗. สมณทูตมัชฌิมะ ไปยังหิมวันตะ (พื้นที่แถบภูเขาหิมาลัย ซึ่งอยู่ ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย)
๘. สมณทูตโสณะและอุตตระ ไปยังสุวรรณภูมิ
๙. สมณทูตมหินทะ ไปยังตัมพปัณณิ (ลังกา)
จากในเนื้อความในคัมภีร์มหาวงศ์ พระองค์สันนิษฐานว่าในบริเวณที่ตั้งของพระปทมเจดีย์ คือ ดินแดนสุวรรณภูมิ ที่พระเจ้าอโศกมหาราช ส่งสมทูตสายที่ ๘ มาคือ พระโสณะเถระ พระอุตตระเถระ และคณะมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกในดินแดนแถบนี้ ส่วนที่เรียกชื่อพระมหาธาตุนี้ว่า “พระปทม” นั้นเป็นสำเนียง เขมร มอญ ทรงโปรดเกล้าให้เรียกพระมหาธาตุใหม่ให้ถูกต้อง ว่า “พระปฐมเจดีย์” ด้วยว่าพระมหาธาตุนี้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในดินแดนแถบนี้ ดังปรากฏเนื้อความในหมายรับสั่งเรื่อง ประกาศแผ่พระราชกุศล ให้พระบรมวงศานุวงศ์ แลข้าทูลละอองฯ ให้ช่วยปลูกสร้างวัดพระปฐมเจดีย์ ณ วันจันทร์ เดือน ๑ ขึ้น ๕ ค่ำ ปี มะแม สัมฤทธิศก (ตรงกับวันจันทร์ที่ ๗ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๑) ความว่า
“ด้วยเจ้าพระยารวิวงศมหาโกษาธิบดี ฯ รับพระราชโอการใส่เกล้า ฯ ทรงพระกรุณาโปรเกล้า ฯ สั่งว่าพระปฐมเจดีย์ที่มีอยู่ในแขวงเมืองนครไชยศรี เป็นพระมหาเจดีย์อันใหญ่กว่าเจดีย์ในประเทศสยามทุก ๆ แห่ง เป็นของเก่ามาช้านาน ทรงทอดพระเนตรพิเคราะห์ฝีมือทำอิฐแลกอ เห็นเป็นของเก่าแล้วแก่เล่ามาหลายคราว แต่รูปพระสถูปเดิมนั้นก็เหมือนอย่างของแต่แรกตั้งพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปแลที่อื่น ๆ ไม่เป็นฝีมือไทยสามัญชั้นหลัง ๆ เลย แต่พระปรางค์แลบันไดนั้นเห็นเป็นฝีมือเพิ่มเข้าชั้นหลังลงมาเป็นแน่ จึงทรงพระราชดำริห์เห็นว่าพระปฐมเจดีย์นี้เป็นของที่ได้มีผู้สร้างขึ้นก่อนพระเจดีย์ทั้งปวง จึงได้ชื่อว่าพระปฐมเจดีย์ แต่ที่เรียกว่าพระปทม นั้นเป็นสำเนียงเขมร มอญสืบได้ความในหนังสือเก่า ๆ ว่า สร้างเมื่อพระพุทธศักราชล่วงแล้วได้พรรษา ๑ บ้าง ว่าสร้างเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๕๖๙ พรรษาบ้าง ว่าสร้างเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๑๑๓๓ พรรษาบ้าง สร้างเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๑๑๘๕ พรรษาบ้าง ว่าสร้างเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๑๒๓๔ พรรษาบ้าง ได้ความดังนี้ จึงเห็นการจะมีผู้สร้างซ้ำเติมมาหลายครั้งหลายคราวแล้ว แลเป็นสถานที่ใหญ่โตกว่าที่อื่น แลคงมีพระบรมธาตุที่เขาบรรจุไว้เป็นแน่ ไม่เป็นที่สงสัยเลย
พระปฐมเจดีย์นี้ได้มีปรากฏอยู่ก่อนพระพุทธบาทแลพระฉายปัถวีหลายร้อยปี เพราะฉะนั้นไม่ควรจะทิ้งให้รกร้างปรักหักพังยับเยินเสีย ....”
[26]
จนกระทั่งต่อมาในวันที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๐๗ Dr.John squire หมอชาวอังกฤษ ได้นำสิ่งของที่เนื่องในพุทธศาสนา ที่ได้จากพุทธคยามาถวาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ
๑. กิ่งใบพระมหาโพธิที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
๒. ศิลาจำหลักเป็นพระพุทธปางสมาธิ ประทับนั่งเรียงกันสามแถว ๆ ละเก้าองค์ รวมยี่สิบเจ็ดองค์ สูงประมาณ ๕ เซนติเมตร ทำประดับไว้อยู่บนแท่น ๑ แผ่น
๓. แผ่นดินเผารูปพระเจดีย์องค์เล็ก ๆ สององค์ มีจารึกอักษร
๔. แผ่นดินเผาทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒เซนติเมตร มีจารึกตัวอักษร ๓๕ ตัว
๕. แผ่นดินเผาทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๔.๕ เซนติเมตร เป็นรูปกลุ่มเจดีย์เล็กต่อขึ้นไป ด้านบนเป็นรูปเจดีย์องค์ใหญ่ มีรัศมีแตกออกไปด้านข้างสี่แฉก ที่ปลายรัศมีนั้นมีขุทธกะเจดีย์ประดิษฐานตั้งอยู่บนปลายรัศมีนั้น
๖. แผ่นดินเผาทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๖.๔ เซนติเมตร เป็นเจดีย์ ๔ แถว แถวบนสุดเป็นรูปเจดีย์เรียงกัน ๕ องค์ แถวที่สองมีเจดีย์เรียงกัน ๗ องค์ แถวที่สองมีเจดีย์เรียงกัน ๗ องค์ ทั้งสามแถวยอดพับลงมาด้านล่างทั้งหมด ส่วนแถวล่างสุดทำเป็นรูปเจดีย์ ๑ องค์ ยอดตรงดี และมีจารึกอักษรโบราณล้อมรอบ พระเจดีย์มีอยู่ ๔ บรรทัด
ในสิ่งของเหล่านั้นมีพระพิมพ์ดินเผา ที่มีจารึกคล้ายกับพระพิมพ์ดินเผาพบที่พระปฐมเจดีย์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสอบถาม Dr.John squire ได้ความว่า เป็นพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว
เมื่อนำเนื้อความ เรื่องที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งสมณทูต ไปเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนในดินแดนต่างๆ จากคัมภีร์มหาวงศ์ มารวมกับหลักฐานต่าง ๆ ที่พบในบริเวณพระปฐมเจดีย์ นำมาเทียบกับจารึกในพระพิมพ์ดินเผา ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชที่ Dr.John squire นำเข้ามาถวาย มีลักษณะตรงกันทำให้ทรงมั่นใจว่าตรงบริเวณพระปฐมเจดีย์ ต้องเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นโดยพระโสณะและพระอุตตระ สมณทูตสายที่ ๘ ของพระอโศกมหาราช อย่างแน่แท้ ฉะนั้นในบริเวณนี้ คือ ดินแดนสุวรรณภูมิ ส่วนพระปฐมเจดีย์องค์แรก คงจะสร้างขึ้นสร้างขึ้นในราว พ.ศ. ๒๓๖



ตำนาน นิทานพื้นบ้าน เรื่องพระปฐมเจดีย์ ที่ สมเด็จเจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ขำ บุญนาค) ได้รวบรวมเรียบเรียง
นอกจากหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ขำ บุญนาค) ได้รวบรวมเรียบเรียง ไว้ในหนังสือ เรื่อง พระปฐมเจดีย์ ตั้งแต่ปีฉลู ใน พ.ศ. ๒๔๐๘ โดยที่ท่านสืบแสวงหาจากหนังสือเก่า ๆ ได้ความที่พระยาราชสัมภารากร (เทศ) ฉบับ ๑ ว่าด้วยเรื่องที่ ตาปะขาวรอต ชาวบ้านพระปฐมเจดีย์ เกิดในราว พ.ศ. ๒๓๒๙ ในรัชกาลที่ ๑ ปีเดียวกับสุนทรภู่ จดหมายไว้ กับอีกฉบับหนึ่งได้มาจาก พระวิเชียรปรีชา (น้อย)
* เจ้ากรมราชบัณฑิตฝ่ายพระราชวังบวร ในรัชกาลที่ ๑ ความทั้งสองเรื่องนี้คล้ายคลึงกัน จึงนำมารวมเป็นเรื่องเดียวกัน ๑ เรื่องโดยใช้ชื่อว่า ตำนานพระปฐมเจดีย์ ฉบับพระยาราชสัมภารากร แลฉบับตาปะขาวรอต
กับเรื่องหนึ่งที่ สมเด็จเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุญนาค) รวบรวมไว้โดยไว้ความมาจากในหนังสือที่พระยามหาอรรคนิกร(เหม็น)
** ฉบับ ๑ และที่นายทอง ฉบับ ๑ ได้ความมีข้อความคล้ายคลึงกันจึงเรียบเรียงเป็นฉบับเดียวกัน อีก ๑ เรื่อง โดยใช้ชื่อว่า ตำนานพระปฐมเจดีย์และพระประโทณเจดีย์ ฉบับพระยามหาอรรคนิกรแลฉบับนายทอง มีเนื้อความโดยรวมกล่าวว่า
เรื่องที่ ๑ ตำนานพระปฐมเจดีย์ ฉบับพระยาราชสัมภารากร แลฉบับตาปะขาวรอต
มีพระยาองค์หนึ่งชื่อท้าวสิการาช ครองราชย์สมบัติในเมืองศรีวิไชย คือเมืองนครไชยศรี มีบุตรชายองค์หนึ่งชื่อพระยากง ต่อมาบิดาสวรรคต พระยากงได้ครองราชย์สมบัติแทนบิดาในเมืองศรีวิไชยนั้น พระยากงมีพระมเหสีประสูติพระราชกุมารออกมา โหราพฤฒาจารย์ดูลักษณะทำนายว่า กุมารองค์นี้มีบุญญาธิการมาก แต่จะกระทำปิตุฆาฏ พระยากงจึงรับสั่งให้เอาพระราชกุมารไปทิ้งเสีย ราชบุรุษได้นำกุมารไปทิ้งที่ป่าไผ่ริมบ้านยายพรหม ยายพรหมได้นำกุมารไปเลี้ยงไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นบุตรของผู้ใดไม่ ยายพรหมเป็นคนมีบุตรหลานมาก ยายหอมเมียตาโฉมน้องยายพรหมหามีบุตรไม่ ยายพรหมจึงนำกุมารนั้นไปให้กับยายหอมๆ ยายหอมจึงเลี้ยงพระกุมารนั้นไว้
ยายหอมเลี้ยงกุมารจนโต กุมารจึงลายายหอมขึ้นไปเมืองเหนือถึงสุโขทัย พอช้างพระเจ้าแผ่นดินสุโขไทยอาละวาดสลัดหมอควาญไล่แทงผู้คนนัก หามีผู้ใดจับช้างนั้นได้ไม่ กุมารก็เข้าไปดู ช้างได้ไล่แทงกุมารๆ จึงจับงาช้างกดลงไว้กับดิน คนทั้งปวงจึงจับช้างนั้นไว้ได้ แล้วนำความเข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินสุโขทัยๆ ให้หาพระกุมารนั้นเข้ามาถามว่า ท่านเป็นบุตรผู้ใด กุมารนั้นจึงกราบทูลว่า หาทราบว่าผู้ใดเป็นบิดามารดาไม่ พระเจ้าแผ่นดินสุโขทัยจึงเลี้ยงกุมารนั้นไว้เป็นบุตรบุญธรรม พระเจ้าแผ่นดินสุโขไทยดูจดหมายเหตุ(ตรวจดูดวงชะตา)รู้ว่ากุมารองค์นี้จะเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก จะได้ครองราชย์สมบัติในเมืองใต้ จึงตั้งให้อยู่ที่บ้านเจ็ดเสมียน เมื่อซ่องสุมผู้คนได้เป็นจำนวนมาก จึงยกมาบ้านเล่า (บ้านบางเลา ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ในปัจจุบัน) ได้รี้พลรวมกันประมาณสี่หมื่น แล้วยกมาบ้านยายหอม ไปตั้งเมืองที่ป่าแดง จึงมีหนังสือถึงพระยากงให้ออกมาชนช้างกัน ครั้นได้ฤกษ์พระยากง ก็ประชุมรี้พลยกทัพออกมารบกัน พระกุมารนั้นก็ยกทัพออกไปปะทะกันที่กลางมรคา พระยากงเสียทีถูกกุมารฟันด้วยของ้าวคอขาดบนคอช้างพระที่นั่ง บริเวณนั้นจึงเรียกว่า ถนนขาด มาจนทุกวันนี้
กุมารจึงได้ยกรี้พลเข้าเมือง คิดอยากได้พระมเหสีพระยากงเป็นภรรยา แต่มีเทพยาดานิมิตเป็นสัตว์ บ้างว่าเป็นแพะ บ้างว่าเป็นแมวแม่ลูกอ่อนนอนขวางบันไดปราสาทอยู่ เมื่อกุมารจะเข้าไปหาพระมเหสีได้เดินข้ามสัตว์แม่ลูกไป ลูกสัตว์จึงว่า กับแม่สัตว์ว่าท่านเห็นเราเป็นสัตว์เดระฉานท่านจึงข้ามเราไป แม่สัตว์จึงว่านับประสาอะไรกับเราเป็นสัตว์เดระฉาน แต่มารดาของท่าน ท่านยังจะเอาเป็นเมีย กุมารได้ฟังก็อัศจรรย์ใจมีความสงสัย เมื่อไปถึงพระมเหสีจึงตั้งสัจจาธิษฐานว่า “ถ้านางคนนี้เป็นมารดาข้าพเจ้าจริงอย่างสัตว์แม่ว่าแล้ว ขอให้น้ำนมไหลออกมาจากถันยุคลทั้งคู่เถิด ถ้ามิใช่ขออย่าให้มีน้ำนมปรากฏเลย” พอตั้งสัจจาธิษฐานดังนั้นแล้วก็เห็นน้ำนมไหลออกมาจากถันทั้งคู่ จึงไต่ถามความรู้ว่าเป็นมารดาจริง จึงเข้าดื่มกินน้ำนม เมื่อรู้ว่าพระยากงเป็นบิดา จึงโกรธยายหอมที่ไม่บอกว่าเป็นบุตรของพระยากงทำให้ต้องฆ่าบิดา แล้วกุมารก็ยกไปบ้านยายหอม จับยายหอมฆ่าเสีย ยายหอมเมื่อจะตายก็รำเย้ยให้ ครั้นตายแล้วแร้งลงกินศพยายหอม คนจึงเรียกที่บริเวณนั้นว่า อีรำท่าแร้ง บ้านยายหอมก็เรียก โคกยายหอม มาจนทุกวันนี้ คนทั้งปวงจึงเรียกกุมารนั้นว่า พระยาพาล ด้วยเหตุว่าฆ่าบิดาและยายหอมผู้มีพระคุณ คนทั้งหลายจึงเรียกพระกุมารนี้ว่า พระยาพาล
ครั้นพระยาพาลได้ครองราชย์สมบัติในเมืองศรีวิไชย เกิดปริวิตกว่า ฆ่าบิดากับยายหอมผู้มีคุณ มีโทษหนักอยู่ เมื่อพุทธศักราชล่วงได้ ๕๖๙ พรรษา พระยาพาลจึงประชุมอรหันต์แลสงฆ์ทั้งปวง ว่าดีฉันได้กระทำการปิตุฆาฏกรรมจะทำกุศลสิ่งใด กรรมนั้นจะเบาลง พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายจึงว่า ขอให้มหาบพิตรจัดแจงสร้างพระมหาเจดีย์ใหญ่สูงชั่วนกเขาเหินเถิด กรรมอันนั้นจึงจะค่อยเบาลง
พระยาพาลราช ให้จัดแจงทำรากจะก่อพระเจดีย์ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาบันทมในที่นั้นสวมแท่นไว้ ท้าวมหาพรหม จึงเอาฆ้องตีสามโหม่งดังกระหึ่มไปจนค่ำ มาหนุนไว้ใต้แท่นพระบันทมด้วย พระยาพาลจึงก่อเจดีย์ขึ้นเป็นลอมฟาง สูงชั่วนกเขาเหินหาทักษิณมิได้ แล้วบัญจุพระทันตธาตุ คือพระเขี้ยวแก้วไว้ด้วยพระองค์หนึ่ง สร้างเสร็จแล้วมีการฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน แล้วจึงถวายเขตแดนโดยรอบชั่วเสียงช้างร้อง แล้วถวายข้าพระโยมสงฆ์เป็นจำนวนสัมโนครัว ๕๕๕ ครัว แล้วพระยาพาลยกทัพขึ้นไปลำพูน ไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้าถึงสามปี แล้วก็ยกทัพกลับลงมาเมืองใต้ จึงปรายเงินปรายทองต่างข้าวตอกดอกไม้ถวายพระธาตุมาทุกๆ ตำบล มาแต่เมืองลำพูนลำปาง ลงมาทางเดิมบางนางบวช ลงมาจนถึงเมืองนครไชยศรีสิ้นเก้าปี พระยาพาลสิ้นอายุแล้ว บ้านเมืองสืบกษัตริย์ต่อๆกันมาอีกหลายชั่ว
จนถึงพระเจ้าหงสาได้เป็นใหญ่ในเมืองมอญ มีพระราชประสงค์ฆ้องตีสามโหม่งดังกระหึ่มไปจนค่ำ จึงยกรี้พลมาขุดฆ้องที่ฝังไว้ใต้แท่นพระบันทม เมื่อขุดลงไปถึงฆ้องๆ ก็ทรุดลงไป พระเจดีย์ก็ทรุดพังลงไปด้วยหาได้ฆ้องไม่ เจ้าเมืองหงสาแลอำมาตย์ปรึกษากันว่าเรามากระทำกรรมดังนี้ไม่สมควร จะต้องทำใช้เสียใหม่จึงจะคุ้มโทษได้ จึงก่อเป็นองค์ปรางค์ต่อตั้งขึ้นบนหลังองค์ระฆังเดิมที่พัง มีทักษิณรอบก็ยังหาสูงเท่าของเก่าไม่ จึงสร้างพระเจดีย์รอบวิหารกับทั้งอุโบสถเพิ่มเติมลงอีก




เรื่องที่ ๒ ตำนานพระปฐมเจดีย์และพระประโทณเจดีย์ ฉบับพระยามหาอรรคนิกรแลฉบับนายทอง
ยังมีตำนานนิทานว่าไว้สืบ ๆ กันมา แต่ก่อนพระนครไชยศรียังมิได้ตั้งเมือง มีตำบลบ้านพราหมณ์อยู่เรียกว่าบ้านโทณะพราหมณ์ ซึ่งเอาโทณะคือทนานที่ตวงพระบรมธาตุพระพุทธเจ้ามาบัญจุไว้ในเรือนหินนั้นแล ว่าเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๑๑๓๓ พรรษา
ครั้นอยู่มายังมีพระยาองค์หนึ่ง ชื่อท้าวศรีสิทธิไชยพรหมเทพมาแต่เมืองมโนหัน ต่อเมืองยศโสธร ท้าวเธอจึงมาสร้างเมืองนครไชยศรี ขึ้นเป็นเมืองใหญ่ แลอยู่มาเจ้าเมืองลังกาจะใคร่ได้หน่วยโทณะอันตรวงพระธาตุของสมเด็จพระพุทธเจ้านั้นมาไว้ในลังกาทวีป เธอจึงไปหาพระกัลยาดิศเถรเจ้า จึงว่าข้าพเจ้าจะอาราธนาพระผู้เป็นเจ้าไปว่ากล่าวด้วยพระเจ้าเมืองนครไชยศรี ขอเอาโทณะที่ตวงพระบรมธาตุมาไว้ในเมืองลังกานี้เถิด แลชาวเมืองลังกาทั้งปวงจะได้นมัสการไปเบื้องหน้าแล
ดังนั้นพระมหากัลยาดิสเถรก็รับอาราธนา แล้วเธอก็มาแต่ลังกาทวีปถึงพอจวนค่ำ เธอจึงเข้าไปอาศรัยในอารามแห่งหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นเพลาเช้าพระกัลยาดิศเถรก็เข้าไปบิณฑบาตตทำภุตากิจเสร็จแล้วก็เข้าไปหาพระเจ้าศรีสิทธิไชย ๆ ก็นิมนต์ให้นั่งที่สถานบังควรแห่งหนึ่ง
ดับนั้นพระยานมัสการแล้ว ถามว่าพระผู้เป็นเจ้ามาแต่อารามใด พระกัลยาดิศเถรเจ้าก็แจ้งความตามแต่หลังให้พระเจ้าศรีสิทธิไชยฟัง
ดับนั้นพระยาก็ว่ากับพระกัลยาดิสเถรว่า พระผู้เป็นเจ้าจะใคร่ได้โทณะอันตวงพระบรมธาตุไปก็จะเป็นอะไรมี แต่ข้าพเจ้าม่มีสิ่งใดเป็นที่ไหว้ที่บูชาเลย ขอพระผู้เป็นเจ้ารับพระบรมสารีริกธาตุให้ข้าพเจ้าไว้สักการบูชาสักทนานหนึ่งเถิด แล้วข้าพเจ้าจึงจะให้ลูกโทณะแก่พระผู้เป็นเจ้า พระกัลยาดิสเถรก็รับว่าจะไปขอพระบรมสารีริกธาตุมาให้ พระกัลยาดิสเถรกับพระยาศรีสิทิไชยก็รับปฏิญาณซึ่งกันแลกันแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็กลับไปสู่เมืองลังกา จึงเข้าไปแจ้งความแก่พระเจ้าแผ่นดินลังกาว่า พระยาศรีสิทธิไชยขอรับพระบรมสารีริกธาตุแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าสักทนานหนึ่ง จึงจะให้หน่วยโทณะนั้นแล
ดับนั้นพระยาลังกาได้ฟังถ้อยคำดังนั้นก็มีความยินดีจึงนำเอาพระบรมสารีริกธาตุให้แก่พระกัลยาดิสเถรเจ้านั้นทะนานหนึ่ง ครั้นว่าพระมหาเถรเจ้าได้รับพระบรมสารีริกธาตุแล้ว เธอก็กลับมาเมืองนครไชยศรี พระผู้เป็นเจ้าก็เอาพระบรมสารีริกธาตุ เข้าไปให้แก่พระยาศรีสิทธิไชย ๆ รับพระบรมสารีริกธาตุทนานหนึ่งแล้ว จึงไปหาหมู่พราหมณ์ทั้งหลายมาจะขอเอาทนานที่ตวงพระบรมสารีริกธาตุให้แก่พระกัลยาดิสเถรเจ้า แลหมู่พราหมณ์ทั้งหลายจึงขัดแข็งไว้มิให้หน่วยโทณะแก่พระยา จึงว่าหมู่พราหมณ์ ซึ่งเป็น ปู่ ย่า ตา ยาย มาแต่ก่อนสั่งไว้ว่า ท้าวพระยาสามลราช แลเทวดาอินทร์พรหม ท่านมาชิงเอาพระบรมสารีริกธาตุไปสิ้นแล้ว ยังเหลืออยู่แต่โทณะเปล่าได้มาไว้เป็นที่บูชาแต่เท่านี้ แลบัดนี้ข้าพเจ้าจะเอาหน่วยโทณะให้แก่พระองค์มิได้เลย
ดับนั้นพระยาศรีสิทธิไชยได้ฟังหมู่พราหมณ์ว่าก็ขัดเคือง จึงยกรี้พลออกไปตั้งเป็นเมืองอยู่ต่างหากให้ชื่อว่าเมืองปาวัน แล้วท่านจึงให้สร้างพระไสยาสน์องค์หนึ่งยาวมหึมา พระยาศรีสิทธิชัยเธอจึงเอาพระบรมสารีริกธาตุมาบัญจุไว้ในนั้นแล้ว พระยาจึงหักหาญเอาหน่วยโทณะนั้นส่งให้แก่พระกัลยาดิศเถรเจ้า เธอก็รับเอาหน่วยโทณะนั้นไปเมืองลังกา พระเจ้าแผ่นดินลังกาก็บัญจุไว้ในสุวรรณเจดีย์แล

(เรื่อง พระปฐมเจดีย์)
พระปฐมเจดีย์นั้นอยู่เหนือพระประโทณเจดีย์อันอยู่ในเรือนศิลานั้น เมื่อแรกสร้างพระปฐมเจดีย์ พระพุทธศักราชล่วงได้พระวัสสาหนึ่ง จะเป็นผู้ใดสร้างหาแจ้งไม่
ครั้นอยู่มาถึงพระพุทธศักราชล่วงได้ ๑๑๙๙ พรรษา มีกษัตริย์องค์หนึ่งเป็นใหญ่ในเมืองละโว้ชื่อกากะวรรณดิศราชนั้น เธอได้ก่อพระเจดีย์ล้อมเรือนศิลาที่บรรจุพระทะนานทอง คือโทณะอันตวงพระบรมธาตุนั้นแล้วขนานนามว่า พระประโทณเจดีย์ พระประโทณเจดีย์สร้างเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๑๑๙๙ พรรษา ได้ความแต่เท่านี้
ดับนั้นกษัตริย์ผู้หนึ่งชื่อภาลีธิราช เป็นเชื้อวงศ์พระยาอินทราไทธิราชเป็นใหญ่ในเมืองสุโขทัย ยกรี้พลมารบเอาเมืองนครไชยศรีได้แล้วจึงอภิเษกบุตรชาย ๒ คน ให้พระยาภาลีบดีใจไปกินเมืองนครหลวงต่อแดนยศโสธร คนหนึ่งชื่อใสทองสมไปกินเมืองนครไชยศรีบางแห่งว่าเมืองราชบุรี พระยาทั้งสองนี้บริบูรณ์ด้วยราชสมบัติ พระยาพี่น้องนั้นมีเหตุด้วยฆ่าพระยาภาลีธิราชผู้บิดาเสีย แล้วแปลกพระมารดาของตัวไปกระทำความไม่ดีกับมารดา พระยาทั้งสองจึงสังเวชพระทัยนัก จึงคิดซ่อมแปลงวัดพระสังฆรัตนธาตุพระอารามบ้านธรรมศาลา ที่พระยาศรีสิทธิไชยสร้างไว้แต่ก่อน แล้วใช้ให้ราชบุรุษผู้หนึ่งออกไปรับพระบรมธาตุพระพุทธเจ้า

มาได้ ๑๐๐ พระองค์ หล่อพระเจดีย์ใหญ่ด้วยเบญจโลหะสูง วา แล้วพระยาภาลีบดีใจให้เอาแก้วอันมีราคา
๒๕๑


มากชื่อแก้วสารพะมี บัญจุไว้ด้วยพระบรมธาตุที่ในกลางพระเจดีย์สูง วา ตั้งอยู่เบื้องหลังพระปฐมเจดีย์

และพระยาพี่น้องสร้างพระจงกรมองค์หนึ่ง พระสมาธิ ๔ องค์ได้ ๔ ทิศแล้วจึงไว้ฆ้องใหญ่ลูกหนึ่งปากกว้าง ๓ ศอก ไว้ระหว่างประตูทั้ง ๔ ด้าน ครั้นสร้างฉลองแล้ว ในหนังสือฉบับหนึ่งว่า พระพุทธศักราชล่วงไว้ ๑๒๓๔ พระยาภาลีบดีใจ พระยาใสทองสม ยกทัพขึ้นไปเมืองลำพูน ไปนมัสการพระบรมธาตุพระพุทธเจ้าถึงสามปี แล้วยกทัพกลับลงมาทางใต้ จึงปรายเงินปรายทองต่างข้าวตอกดอกไม้ถวายพระบรมธาตุทุกๆ ตำบล ตั้งแต่ลำพูน ลำปางลงมาทางเดิมบางนางบวช จนถึงเมืองนครไชยศรีสิ้นเก้าปี สิ้นอายุ บ้านเมืองก็สืบกษัตริย์ต่อๆ กันมาอีกหลายชั่วแล
เรื่องพระมหาเถรไหล่ลาย
จะกล่าวถึงมหาไหล่ลายเป็นบุตรนายเชนกษัตริย์เป็นเชื้อวงศ์พระยาศรีสิทธิไชย เมื่อมหาไหล่ลายยังไม่ได้บวช เป็นมหาดเล็กพระเจ้าแผ่นดินละโว้ แล้วกระทำชู้ด้วยนางพระสนมของพระยา ๆ เธอจับได้จึงสักไหล่เสียข้างหนึ่ง แล้วส่งไปเป็นตะพุ่นหญ้าม้า จึงได้นามปรากฏว่า มหาไหล่ลาย ครั้นอยู่มามหาไหล่ลายกับบิดาได้หนีต่อไปถึงเมืองหลวงต่อแดนเมืองเชียงใหม่ มหาไหล่ลายไปหาท่านเจ้าอธิการจะขอบวชเป็นภิกษุ พระสงฆ์ไม่บวชให้ มหาไหล่ลายขอบวชเป็นสามเณร ครั้นอยู่มารู้ข่าวว่าจะมีสำเภาไปเมืองลังกา เจ้าเณรไหล่ลายก็โดยสารสำเภาไป ครั้นสำเภาไปถึงปากน้ำลังกาเข้า เจ้าเณรไหล่ลายก็เอาบาตรกับไม้เท้าลงในกระโล่ ก็ลอยเข้าไปถึงเมืองลังกาในวันเดียวนั้น เจ้าเณรไหล่ลายก็ไปอาศัยพระภิกษุเฒ่าอยู่ พระภิกษุเฒ่าพาไปหาพระสังฆราชา ๆ จึงถามว่าเจ้าเณรมาในลังกานี้เพื่อประโยชน์สิ่งใด เจ้าเณรแจ้งว่าจะขอบวชเป็นภิกษุ พระสงฆ์ทั้งปวงว่าเจ้าเณรนี้เป็นนักโทษ ท่านจึงสักไหล่เสียข้างหนึ่ง จึงหนีออกมาจากเมืองชมพูจะบวชให้นั้นมิได้
ดับนั้นเจ้าเณรไหล่ลายจึงว่า พระผู้เป็นเจ้าจงนำข้าพเจ้าไปนมัสการไปหิยังคะเจดีย์(มหิยังคณเจดีย์?) ด้วยเถิด พระสังฆราชแลสงฆ์ทั้งปวงจึงนำสามเณรไหล่ลายมาถึงต้นศรีมหาโพธิกระทำทักษิณสามรอบ แล้วกิ่งพระมหาโพธิ ข้างทักษิณทิศ ก็น้อมลงมาให้เจ้าเณรไหล่ลายจับใส่เศียรเกล้า แล้วพระสารีริกธาตุก็เสด็จออกมาปาฏิหาริย์ตั้งอยู่เหนือศีร์ษะเจ้าเณรมีพระรัศมีต่าง ๆ พระสงฆ์ทั้งปวงประจักษ์แก่ตาแล้วก็ให้อุปสมบทเจ้าเณรไหล่ล่ายเป็นภิกษุ พระมหาไหล่ลายจึงเที่ยวไปนมัสการพระพุทธบาทกับเจดีย์อื่น ๆ ทั่วแล้วจะกลับมาเมืองชมพู พระสังฆราชก็ให้พระบรมธาตุ ๖๕๐ องค์ ให้ไปบัญจุไว้ในเมืองทวีปโพ้นเถิด สมณะชีพราหมณาจารย์ ท้าวพระยาประชาราษฏรทั้งปวงจะได้นมัสการบูชาสืบไปเมื่อหน้ากว่าพระศาสนาจะได้ ๕๐๐๐ พรรษาแล มหาไหล่ลายรับพระบรมสารีริกธาตุได้ ๖๕๐ พระองค์กับพระศรีมหาโพธิแล้ว ก็อำลาพระสังฆราชาแลสงฆ์ทั้งปวงกลับมายังชมพูทวีป มาถึงเมืองนครไชยศรี วัดพระเชตุพนแล้ว มหาไหล่ลายจึงเอาพระธาตุมาบัญจุไว้ในมหาเจดีย์นั้นบ้าง ในพระสมาธิบ้าง ในพระเสดา
[27] ทั้งสี่บ้างเป็นพระธาตุ ๑๖ พระองค์ แล้วเอามามาบัญจุไว้ในพระไสยาสน์นอกพระประธานใหญ่นั้น ๑๖ พระองค์ บัญจุไว้ในมหาโพธิเทพารักษ์นั้น ๓ต พระองค์ บัญจุไว้ในพระปาเลไลย์ ๓๖ พระองค์ เอาขึ้นไปบัญจุไว้ในทรองเมืองไชนาท ๓๖ พระองค์ แลผลมาโพธิมหาไหล่ลายเอามาแต่เมืองลังกาปลูกไว้ริมหนองทะเลนอกวัดเขมาปากน้ำ[28] จึงได้ปรากฏชื่อมหาโพธิมาแต่เมืองลังกานั้นแล
มหาไหล่ลายบัญจุไว้วัดหน้าพระธาตุเมืองอโยธยา ๑๖ พระองค์ ในพระพุทธบาท ๓๖ พระองค์ ในเขาครสวรรค์ ๓๖ องค์ บัญจุไว้ที่ต้นมหาโพธิ๙งมหาไหล่ลายเอามาปลูกไว้ในอ่างทอง ๓๖ พระองค์ อยู่ในเมืองครสวรรค์ เอาไปบัญจุไว้ในป่าดาผีคุด
[29] ๓๖ พระองค์ มหาไหล่ลายขึ้นไปถึงเมืองสุโขทัย เอาบัญจุไว้ในพระธาตุหินตั้ง ๓๖ พระองค์ เอาบัญจุไว้ในต่อม ๓๖ พระองค์ เอาขึ้นไปบัญจุไว้เมืองหลวงลวงแก้ว[30] ๓๖ พระองค์ บัญจุไว้ในวัดมหาสถาน ๓๐ พระองค์ แลสามอารามนี้อยู่แดนเมืองพิษณุโลกนั้น มหาไหล่ลายเที่ยวไปบัญจุพระบรมธาตุสิ้นแล้ว[31] กลับมาอยู่เมืองละโว้เล่า เมื่อมหาไหล่ลายบัญจุพระบรมธาตุนั้นพระพุทธศักราชได้ ๑๔๓๒ พรรษา[32]
นิทานเรื่องพระอรหันต์ทำนาย




ในตอนท้ายเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ผู้เรียบเรียงตำนานได้บันทึกเพิ่มเติมไว้ว่า นิทานตำนานฉบับนี้มิได้ว่าถึงพระยากง พระยาพาลเลย เรื่องพระยากง พระยาพานก็ไม่ได้ว่าถึงเรื่องนี้เหมือนกัน ให้ท่านผู้มีสติปัญญาตรึกตรองเอาเถิด
ตำนานพระปฐมเจดีย์ ในสมุดไทยขาวเขียนเส้นหมึก ของ นายอ่อง ไวกำลัง
นอกจากตำนานที่สมเด็จเจ้าพระยาทิพากร (ขำ บุญนาค) รวบรวมไว้แล้วเรื่องของพระยากง กับ พระยาพาน ยังปรากฏอยู่ในสมุดไทยขาวเขียนเส้นหมึก หมู่ธรรมคดีเลขที่ ๑ นายอ่อง ไวกำลัง นำมามอบให้หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๔ ความว่า
“แต่นี้ไตรภูมินิพาน พระอรหันแล้ว แต่เดิมพระพุทธิเจ้าเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน แต่ศาสนาพระพุทธิเจ้าได้พันร้อยสามสิบสามปี ยังมีตำรานิทานพระอรหันต์สืบๆกันมาจนเท่านี้แล” จากนั้นจึงเข้าสู่เรื่องราวเกี่ยวกับพระประโทณเจดีย์ ความว่า ก่อนนั้นมีตำบลบ้านโทณะพราหมณ์ มีโทณะคือทะนานที่ตวงพระธาตุพระเจ้าเก็บไว้ในเรือนหิน ต่อมาท้าวศรีสิทธิชัยพรหมเทพ ซึ่งมาจากเมืองมโนหนต่อแดนเมืองยศโสธรได้มาสร้างเมืองนครไชยศรีขึ้น
ครั้นอยู่มาไม่นานเจ้าเมืองลังกา มีความต้องการโทณะดังกล่าวไปไว้ในลังกาทวีป จึงส่งพระกัลยาดิศเถรมาเจรจากับเจ้าเมืองนครไชยศรี พระยาศรีสิทธิชัยพรหมเทพเมื่อทราบความประสงค์ของเจ้าเมืองลังกาแล้วจึงรับคำ แต่ขอ ให้พระกัลยาดิศเถรนำพระบรมสารีริกธาตุมาให้หนึ่งทะนานก่อนแล้วจะให้โทณะ เมื่อกระทำสัตย์กันแล้วพระกัลยาดิศเถร ก็นำความกลับไปแจ้งแก่เจ้าเมืองลังกา เมื่อได้พระสารีริกธาตุก็ได้นำมามอบแก่ท้าวศรีสิทธิชัยพรหมเทพ จากนั้นท้าวเธอได้เรียกหมู่พราหมณ์มาและแจ้งความประสงค์ที่จะนำโทณะไปให้เจ้าเมืองลังกา แต่พราหมณ์ไม่ยอมให้ โดยให้เหตุผลว่า... “ ของปู่ชวดมาแต่ก่อน พ่อสั่งว่า ท้าวพระยาสามนธิราชแลเทวดาอินทร์พรหม มาชิงเอาพระสารีริกธาตุไปแล้ว ยังอยู่แต่โทณะเปล่าเรามารักษาแต่เท่านี้แล และจะให้รูปโทณะแก่องค์นั้นมิได้เลย” พระยาศรีสิทธิชัยพรหมเทพได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงยกพลไปตั้งเมือง อยู่ต่างหากไกลจากเมืองเดิมประมาณ ๑๙ เส้น ให้ชื่อว่า เมืองปานัน แล้วให้ตั้งพระบรรทมไสยาสน์ องค์หนึ่งใหญ่มหึมา แล้วนำพระบรมสารีริกธาตุทะนานหนึ่งนั้นบรรจุไว้ภายใน เสร็จแล้วจึงเอาโทณะนั้นให้พระกัลยาดิศเถร เพื่อไปมอบให้เจ้าเมืองลังกาและบรรจุไว้ในสุวรรณเจดีย์ แล้วพระยาก็บรรทมอยู่เหนือพระประโทณเจดีย์อันอยู่ในเรือนหินนั้นแล
จบความเรื่องพระประโทณเจดีย์เพียงเท่านี้ ต่อจากนั้นตำนานได้กล่าวถึงพระปฐมเจดีย์ว่า
“เดิมเมื่อแรกสร้างพระปฐมเจดีย์นั้นจุลศักราชยังไม่มี ตั้งแต่พระพุทธศักราชศาสนาพระพุทธิเจ้าได้ปีหนึ่งนั้นมา แล้วอยู่มาพระยาสกตามหาราชเป็นเจ้าเมืองตักศิลามหานคร แลพระยานั้นมีบุญญาธิการนักหนา จึงตั้งจุลศักราชใหม่พึงข้นได้ตัวหนึ่ง เมื่อศาสนาพระเจ้าได้พันร้อยสามสิบสามปีนั้น จนมาถึงศาสนาพระเข้าได้พันร้อยเก้าสิบสองปีนั้นจุลศักราชได้สิบศก จึงพระยากาวัณดิศราชก็ขับให้มหาพราหมณ์ทั้งหลายไปตั้งอยู่เมืองละโว้นั้นแล ดับนั้นพระยากวัณดิศราช ให้ก่อเจดีย์รอบลูกโทณะอันตวงธาตุพระเจ้านั้นศาสนาพระเจ้าได้พันร้อยเก้าสิบเก้าปี”
ความต่อจากนี้กล่าวถึงพระยากาวัณดิศราชแต่งตั้งให้บุคคลต่างๆ ไปครองหัวเมืองทั้งหลาย จนกระทั่งตอนหนึ่งกล่าวถึง แลดับนั้นมาถึงพระยาอินทราไชยธิราช ท่านมาเมืองนครหลวงต่อแดนเมืองยศโสธร ท่านนั้นวงศ์กษัตริย์พระยาสี่เสา กลบุตรท่านนั้นอยู่ทิศบูรพา ลงมาสร้างเมืองโสกะทัย เมื่อพุทธศักราชพระเจ้าได้พันสองร้อยยี่สิบสองปี จุลศักราชได้ยี่สิบศกนั้น สืบกันมาจนถึงพระยากรุงภาลีธิราชท่านนั้นสิได้โสกะทัย แลยกพลลงมาแต่เมืองโสกะทัยประจนกับเมืองนครไชยศรีได้แล้ว ท่านจึงอุปภิเศกลูกชายทั้ง ๒ คน คนหนึ่งชื่อพระยาภาลี ให้กินเมืองมหานครหลวง ต่อแดนเมืองยศโสธร เธอเป็นเชื้อวงศ์พระยาสี่เสา กลบุตรท่านนั้นอยู่ทิศบูรพา ลงมาสร้างเมืองโสกะทัย เมื่อพุทธศักราชพระเจ้าได้พันสองร้อยสามสิบปี จุลศักราชได้สามสิบสองศกนั้นแล สืบๆ กันมาจนถึงพระยาภาลีบพิตร ได้กินเมืองนครไชยศรี มีลูกคนหนึ่ง ชื่อพระยาไสทองสม ให้กินเมืองเทพบูรี คือชื่อเมืองราชคฤห์ แลพี่น้องทั้งคนท่านนั้นมีเงินทองมากนักหนา อันท่านพี่น้องสองคนเป็นเชื้อสันดานพระยากาวัณดิศราช เป็นเชื้อสันดานโทณพราหมณ์มาแต่บุราณ แลพระยาภาลีนั้นมีเหตุด้วยฆ่าพระยากาวัณดิศราชผู้เป็นพ่อเสียให้ถึงแก่ความตาย แล้วมาทำแปลกด้วยมารดา ด้วยตัวทำทุราจาร แลท่านสองพี่น้องทั้งทั้งสองคิดสังเวชนักหนา ท่านพี่น้องจึงมาซ่อมแปลงปฏิสังขรณ์ในอารามพระธาตุพระยาศรีสิทธิชัยสร้างแต่ก่อนโน้นมาแล”
ต่อมาได้ให้โคบุตรไปรับพระสารีริกธาตุมาร้อยพระองค์ ก่อเบญจโลหะเจดีย์สูงห้าวา แล้วพระยาภาลีก็ให้เอาแก้วใหญ่น้อยชื่อว่าแก้วสันทะมาบรรจุไว้กับพระสารีริกธาตุในกลางพระเจดีย์ให้ตั้งอยู่เหมือนพระประถมนั้นแล แล้วให้ตั้งจงกรมองค์หนึ่ง สมาธิสี่พระองค์ ทั้งสี่ด้านประตูไว้ฆ้องใหญ่ปากกว้างสามศอก เสร็จแล้วทำการสมโภช แล้วยกพลขึ้นไปเมืองลำพูนคือเมืองพิไชยเชียงใหม่ นมัสการพระสารีริกธาตุพระพุทธเจ้าเมืองเหนือ แล้วกลับลงมาเอาเงินทองต่างข้าวตอกดอกไม้ถวายพระบรมธาตุทุกแห่งทุกตำบลลงมาทุกย่านน้ำ แต่เมืองใหม่ลงมาจนถึงย่านน้ำเดิมบางนางบวช จนถึงเมืองนครไชยศรี เมื่อ พุทธศักราชได้ ๒๒๔๔
ความที่เกี่ยวข้องกับพระปฐมเจดีย์และพระประโทณเจดีย์มีเพียงเท่านี้ ความต่อจากนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการครองเมืองๆ และการบำรุงพระศาสนา ซึ่งยังมีความสับสนวกวนอยู่มาก นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกเรื่องที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเมืองนครไชยศรี คือเรื่องมหาเถรไหล่ลาย ซึ่งในเรื่องกล่าวถึงว่าได้เดินทางไปเมืองลังกาโดยอาศัยเรือสำเภาสินค้าไปลงที่ปากน้ำ แล้วเอากระเซอกะโล่ลอยตามลมเข้าถึงหน้าวัดลังกาได้ภายในวันเดียว จากนั้นจะไปขอบวชเป็นพระแต่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากถูกสักไหล่แสดงว่าเป็นนักโทษ ความเริ่มจาก
“ดับนั้นจึงถึงมหาละลาย ผู้เป็นลูกนายเซนกษัตริย์ เชื้อสันดานมาแต่กษัตราธิราช สืบสกุลมาแต่มหาพราหมณ์ พ่อพระนากะเสม (นาคเสน?) อันอยู่ในเมืองละโว้นั้น ที่บ้านตนลักสีดา คือเป็นบ้านพ่อแม่พระนากะเสม แลพ่อแม่พระนากะเสมสืบๆ กันมาแต่ท้าวศรีสิทธิชัย สืบมาแต่โทณะพราหมณ์แห่งเมืองนครไชยศรีนั้น”
เดิมมหาไหล่ลายเป็นมหาดเล็กของเจ้าเมืองละโว้ แต่ทำผิดกับสนมในวังจึงถูกขับออกจากเมือง ต่อมาไหล่ลายกับนายเชนกษัตริย์ได้พากันหนีไปถึงเมืองหลวงต่อแดนเมืองเชียงใหม่ และไปไหว้พระสังฆราชาจะขอบวชเป็นพระ แต่ถูกพระสงฆ์ติฉินนินทาว่าต่างๆ ดังนั้นก็จะขอเป็นเณร อยู่มาไม่นานไหล่ลายรู้ว่าชาวเมืองหลวงขึ้นไป จึงหนีโดยสานเรือสำเภาพ่อค้าไปลังกา เมื่อถึงปากน้ำเรือเข้าไปไม่ได้ เณรไหล่ลายจึงเอาบาตรกับไม้เท้า ลงกระเชอว่ายน้ำ ลอยไปถึงหน้าวัดลังกาเพียงวันเดียว และไปอาศัยพระภิกษุผู้เฒ่า ต่อจากนั้นได้ขอไปนมัสการพระสังฆราชา เมื่อไปถึงกุฎี ภิกษุทั้งหลายบอกว่าพุทธองค์สงัดอยู่ เณรไหล่ลายจึงลงมาที่ประตูเขียนเป็นอักษรสี่ตัวไว้ปากประตูที่พระสังฆราชาจะสรงน้ำ
ครั้นเมื่อพระสังฆราชาตื่นจากที่สงัดจะมาสรงน้ำ เห็นตัวอักษรซึ่งอ่านไม่ออก ได้ถามสงฆ์ทั้งหลายผู้ใดเขียนเมื่อทราบว่ามีเณรองค์หนึ่งมาหาท่านและได้กลับลงไปแล้ว สังฆราชได้แต่ตัวสั่นระทาวไปมา ส่วนเณรไหล่ลายเมื่อไม่ได้พบพระสังฆราชาได้ขอให้ภิกษุผู้เฒ่าพาไปไหว้พระประยงค์เจดีย์ (มหิยังคณะเจดีย์?)ทั้งสี่ทิศ เมื่อกระทำทักษิณสามรอบ แล้วกราบนมัสการกิ่งมหาโพธิ์อันทอดไปทิศบูรพานั้น อ่อนลงมาให้เณรไหล่ลายยกใส่ศีรษะนมัสการแล้วก็ชูขึ้นไปดังเดิม
ครั้นเวลาเย็นภิกษุผู้เฒ่าได้พาเณรไหล่ลายไปนมัสการพระสังฆราชาอีกครั้ง ท่านจึงไต่ถามว่ามาจากอารามไหน เณรตอบว่ามาแต่ชมพูทวีป และเล่าว่าเดินสานสำเภาลูกค้ามาถึงปากน้ำแล้วเอากระเชอกะโล่ลอยตามลมเข้ามาถึงหน้าวัดเพียงวันเดียว พระสังฆราชาและสงฆ์ทั้งปวงไม่เชื่อและหัวเราะว่าเณรอวดตัวเกินไป จากนั้นจึงถามว่ามาถึงลังกานี้ปรารถนาสิ่งอันใด เณรก็ตอบว่าจะขอบวชเป็นภิกษุ แต่ไม่ได้รับอนุญาตเพราะเห็นว่าเป็นนักโทษจึงถูกสักบ่า สักไหล่มา เณรไหล่ลายจึงขอไปนมัสการรูปพระยงเจดีย์ (มหิยังคณะเจดีย์?) กับพระสารีริกธาตุพระพุทธเจ้า พระสังฆราชกับสงฆ์ทั้งปวงจึงหาธูปเทียนให้ เมื่อกระทำประทักษิณได้ครบ ๓ รอบแล้ว เกิดปาฏิหาริย์ มหาโพธิ์สูงสามชั่วลำตาล กิ่งทอดออกไปทางทิศทักษิณ ก็อ่อนเอนค้อมลงมาให้เณรไหล่ลายจับใส่เกล้า พระสารีริกธาตุเสด็จออกทำยมกปาฏิหาริย์ ตั้งอยู่เหนือศีรษะเณรไหล่ลาย มีรัศมีรุ่งเรือง พระสังฆราชากับสงฆ์ทั้งปวงเห็นประจักษ์แก่ตาจึงว่าเณรชาวชมพูทวีปเป็นผู้มีลาภนักหนา
ความจากสมุดไทยจบลงเพียงเท่านี้ นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่าเณรไหล่ลายผู้นี้ ไม่น่าจะเป็นใครที่ไหนได้นอกจากพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี นั่นเอง
ข้อสันนิษฐาน เรื่องพญากง พญาพาน รับรูปแบบวรรณกรรมมาจากอินเดีย
จากตำนาน พงศาวดาร และนิทานพื้นบ้านต่างๆ ที่กล่าวถึงเรื่องพญากงและพญาสันนิษฐานว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาโดยได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมของอินเดียที่แพร่หลายอยู่ในช่วงราวพุทธศตวรรษทึ่ ๘ -๑๒ จากคัมภีร์มหาควัตปุราณ เรื่อง กังสะวธะ เป็นเรื่องที่พระศุกมุนี บุตรของท่านฤษีไทฺวปายนวฺยาส ได้เล่าเรื่องพระกฤษณะ คือเทพเจ้าองค์หนึ่งตามความเชื่อของศาสนาฮินดู เป็นร่างอวตารของพระนารายณ์ ให้ราชาปริษิตฟัง เนื้อความโดยย่อกล่าวถึงเรื่อง พระราชาศูราชปกครองชาวสุรเสนในเมืองมธุรา มีน้องชายชื่อท้าวอุคระเสน ซึ่งเป็นรัชทายาท พระราชาศูราชมีบุตร ๒ คนคือ คนโตเป็นผู้ชายชื่อเจ้าชายวสุเทพ อีกคนเป็นลูกสาวชื่อเจ้าหญิง กุณตี ส่วนท้าวอุคระเสนมีลูก ๓ คน คือ คนโตเป็นผู้ชายชื่อพญากงส์ หรือกังสะ และ มีลูกสาว ๒ คน คือ นางนางเทวกีและนางโมหิณี ครั้งต่อมาเมื่อพระราชาศูราชสิ้นพระชนม์ ท้าวอุคระเสน ขึ้นครองเมืองมธุรา ต่อจากพี่ชาย โดยแต่งตั้งพญากงส์ เป็นรัชทายาท พญากงส์ เป็นคนเกเรมาก ได้ก่อกบฏถอดท้าวอุคระเสน ผู้เป็นบิดาออกจากการเป็นพระราชา แล้วแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นพระราชาแทน ด้วยความที่พญากงส์ นั้นค่อนข้างโหดเหี้ยมทารุณกลัวว่าเจ้าชายวสุเทพ ญาติกันนั้นจะไม่ช่วยเหลือคนในการครองราชย์บ้านเมืองจึงยกน้องสาวชื่อ นางเทวกี แต่งงานกับเจ้าชายวสุเทพ วันหนึ่งพญากงส์กำลังจะออกประพาสป่าก็ได้มีฤาษีตนหนึ่งมายืนตัดหน้าแล้วบอกว่าเรามาที่นี่เพื่อจะบอกว่า " ลูกชายคนที่ ๘ ของเจ้าชายวสุเทพที่เกิดกับพระนางเทวกีน้องสาวของท่านจะเป็นคนฆ่าท่าน” พอพญากงส์ได้ยินดังนั้นก็ได้เกิดวิตกจึงได้สั่งให้จับเจ้าชายวสุเทพกับพระนางเทวกี ขังคุกด้วยกัน พอสองคนอยู่ด้วยกันในคุกปีแรกก็ได้ให้กำเนิดลูกชายพญากงส์ จึงสั่งให้นางยักษิณีปุตนะ เอาลูกจ้าชายวสุเทพกับพระนางเทวกีนั้นไปฆ่าทิ้ง จนกระทั่งถึงคนที่ ๗ นางเทวกีก็กำลังจะออกลูก พระนางโลหิณีซึ่งเป็นพี่สาวก็ได้เสด็จมาที่คุกแล้วบอกว่าลูกคนที่ ๗ นี้เราจะเอาไปเลี้ยงเองแล้วก็เอาเด็กคนอื่นไปให้พญากงส์ฆ่าทิ้งแทน ซึ่งลูกคนที่ ๗ นี้ชื่อว่า พลราม เมื่อเวลาผ่านไปพระนางเทวกีเริ่มท้องอ่อนๆ พญากงส์ก็สั่งให้ควบคุมอย่างเข้มแข็ง ในระหว่างนั้น เจ้าชายวสุเทพก็ได้แอบติดต่อกับเพื่อนซึ่งเป็นคนเลี้ยงวัวจากในคุก ซึ่งเพื่อนคนนี้ชื่อว่า นันทะ แล้วนันทะนี้ก็มีเมียชื่อนางยโสธารา ซึ่งได้แต่งงานกันและกำลังตั้งท้อง ถึงกำหนดคลอดในเวลาไล่เลี่ยกัน
ในคืนที่กระนางเทวกีคลอดลูกคนที่ ๘ ออกมาฝนตกหนัก ประตูคุกที่เคยปิดก็เปิดออกโซ่ตรวนที่เคยมีก็หลุดลง เจ้าชายวสุเทพก็จึงได้แอบออกมาหา นันทะที่เมืองโกกุนซึ่งอยู่ติดๆกัน แต่อนิจจาฝนตกหนักน้ำในแม่น้ำยมุนาก็หนุนขึ้นสูง เจ้าชายวสุเทพซึ่งลุยน้ำแบบจวนเจียนที่จะจมเต็มทีน้ำจากแม่น้ำที่ขึ้นสูงจนถูกตัวลูกของเจ้าชายวสุเทพ ก็ได้เกิดอัศจรรย์คือน้ำได้ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ท้าววสุเทพจึงเดินทางได้สะดวกขึ้นครั้นพอเมื่อเจ้าชายวสุเทพมาถึงบ้านของนันทะ นางยโสธาราเมียของนันทะเองก็เพิ่งจะคลอดลูกสาวออก นันทะจึงบอกให้เจ้าชายวสุเทพเปลี่ยนตัวลูกกัน ลูกชายของเจ้าชายวสุเทพนั้นนันทะก็ได้เอาไปเลี้ยง ส่วนลูกสาวของนันทะนั้นเจ้าชายวสุเทพก็ถูกพากลับไปสู่คุก พอพญากงส์ทราบว่าพระนางเทวกีคลอดเรียบร้อยแล้วพญากงส์ ก็ได้เดินทางมายังคุกหมายจะฆ่าลูกชายคนที่ ๘ แต่ก็ต้องแปลกใจว่าพระนางเทวกีนั้นคลอดลูกออกมาเป็นผู้หญิง ใจหนึ่งก็ดีใจว่า คำทำนายของฤาษีนั้นคงจะไม่เป็นจริงเพราะลูกที่เกิดมาเป็นผู้หญิง แต่เพื่อความแน่ใจท้าวกังษะก็หมายจะฆ่าเด็กผู้หญิงคนนี้ทิ้งเสีย กำลังเงื้อดาบอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงร้องมาจากอากาศ ท้าวกังษะตกใจผลันโยนเด็กน้อยขึ้นบนฟ้าพลันนั้นเด็กน้อยก็ได้หายวับไปกับตา พญากงส์ก็ค่อยปลงใจเพราะคิดว่าคำสาปคงจะไม่เป็นจริงแล้ว แต่เพื่อความมั่นใจก็สั่งให้นางยักษิณีปุตนะ ฆ่าทารกเพศชายที่เกิดในวันนี้ทั้งเมือง ลูกชายของเจ้าชายวสุเทพ ที่อยู่กับนางยโสธาราเติบโตในหมู่บ้านที่อยู่นอกเมือง รอดตายมาได้ ชื่อว่า กรรณหา หรือ พระกฤษณะ เติบโตอยู่ในหมู่บ้านโกกุน มีลักษณะแปลกเด็กคือเป็นเด็กขี้เล่นร่าเริง หน้าตาดี เป่าขลุ่ยได้ทั้งวันยังความเอ็นดูแก่คนอื่นที่พบเห็น และมีเรื่องหน้าแปลกว่า ถ้ากรรณหา หรือพระกฤษณะ ลักขโมยกินนมเนยและเอามาเผื่อแผ่เด็กกลุ่มเดียวกันจากบ้านไหน วัวบ้านนั้นจะให้น้ำนมมากกว่าเดิม พอชาวบ้านเรื่อง ชาวบ้านก็เลยออกอุบายบอกใบ้ที่เก็บนมและเนยในบ้านตนเพื่อให้กรรณหามาลักไปแจกเด็กๆในหมู่บ้าน เพื่อที่วัวของตนจะให้น้ำนมมากขึ้น และเมื่อนางยักษิณีปุตนะ จับเด็กทั้งหลายมาฆ่าทิ้ง เดินทางจนพบกับพระกฤษณะ พระกฤษณะจึงเข้าต่อสู้ได้รับชัยชนะ หลังจากนั้นพระองค์จึงฆ่านางยักษิณีตนนี้ และนำเลือดของนางยักษิณีปุตนะมาเป็นอาหาร พระกฤษณะก็ได้อยู่ในหมู่บ้านนี้ได้ ๑๑ ปีจนมาวันหนึ่ง ได้พบเห็นการถวายนมเนยแก่พระอินทร์ กรรณหาก็แปลกใจและถามว่า “ เหตุใดจึงต้องบูชาพระอินทร์ด้วยเล่า พระองค์ไม่เห็นทำอะไรเลย ทำไมไม่บูชาวัว ซึ่งให้นมและเนยกับพวกเรา ทำไม่บูชาหญ้าซึ่งเป็นอาหารของวัว หรือทำไมไม่บูชาภูเขาโควัฒนะ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดความร่มรื่นและป่าไม้ความอุดมสมบูรณ์แก่หมู่บ้าน”พระอินทร์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ เกิดโมโห จึงสาปให้ฝนตก ๗ วัน ๗ คืน พระกฤษณะก็จึงแสดงปาฎิหารย์ด้วยการใช้นิ้วเดียวยกภูเขาโควัฒนะขึ้นมาบังท้องฟ้าเอาไว้ ถึงฝนจะตกแต่หมู่บ้านก็เสียหายน้อยลง จนกระทั่งพระอินทร์นั้นยอมแพ้และมาทราบภายหลังว่ากรรณหานั้นคือพระนารายณ์อวตารลงมาเกิดเป็นพระกฤษณะ จึงได้ขอขมาหลังจากที่แสดงอิทธิฤทธิ์แล้ว พระกฤษณะจึงบอกกับชาวบ้านไปว่า ต่อจากนี้ไปไม่ต้องส่งส่วยนมเนยไปให้พญากงส์แล้ว ครั้นพอพญากงส์ทราบเรื่องว่าชาวเมืองโกกุน นำโดยพระกฤษณะนั้นแข็งข้อและได้ทราบว่าพระกฤษณะนั้นเป็นหลานคนที่ ๘ ที่เล็ดรอดหนีไปได้ พญากงส์จึงได้ทำกลอุบายให้ไปเชิญมาแข่งมวยปล้ำในเมือง โดยระหว่างที่พระกฤษณะติดตามทหารของพญากงส์กลับมายังเมืองนั้น ทหารของพญากงส์ก็ได้ปล่อยช้างศึกตกมัน หมายเข้าขยี้พระกฤษณะ พระกฤษณะก็จัดการหักงวงหักงา ช้างศึกตกมันตัวนั้นเสียอย่างง่ายดาย และทหารของพญากงส์ ยังได้ปล่อยสิงโตออกมาอีกก็ถูกพระกฤษณะฆ่าตายอีก พอพระกฤษณะเข้ามายังเมืองก็ได้เจอกับพญากงส์และได้ต่อสู้กันพญายากงส์พลาดถูกพระกฤษณะฆ่าตาย เมื่อพระกฤษณะฆ่าพญากงส์ผู้เป็นลุงตายแล้ว ประชาชนก็ยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง พระกฤษณะกับพลรามพี่ชายก็รีบไปที่คุกและปล่อยพระเจ้าตา คือท้าวอุรุเสน พ่อซึ่งก็คือเจ้าชายวสุเทพและแม่คือพระนางเทวกีแล้วก็เชิญท้าวอุรุเสนผู้เป็นตาขึ้นครองราชย์ต่อไป ส่วนพระกฤษณะนั้นก็ได้ออกเดินทางไปร่ำเรียนวิชาและผจญภัยอยู่จนกระทั่งโตเป็นหนุ่มและได้กลับมาที่เมืองต่อมาได้เกลี้ยกล่อมให้ย้ายเมืองจากที่เดิมไปตั้งรกรากใหม่ ชื่อว่า กรุงทวารกา
พระกฤษณะครองกรุงทวารกาไปอีก ๓๖ ปี หลังจากนั้นสละราชสมบัติไห้กับเหล่ากษัตริย์ยาฑพซึ่งกำลังแย่งชิงอำนาจกัน แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใช้ชีวิตในป่า ในระหว่างที่พระกฤษณะกำลังนั่งสมาธิ นายพรานจาราได้ยิงธนูใส่ข้อเท้าของพระองค์ถึงแก่ความตาย ซึ่งพรานจาราในชาติที่แล้วคือพญาพาลี กษัตริย์แห่งขีดขิน ได้ถูกพระวิษณุ ซึ่งเคยอวตารเป็นพระราม และฆ่าพญาพาลีตายอย่างไม่ยุติธรรม หลังจากการตายของพระกฤษณะ กรุงทวารกาและเหล่ายาฑพทั้งหมดได้ล่มสลายจมลงสู่มหาสมุทร กาลียุคได้เข้ามาแทนที่ทวาปรยุค

พระกฤษณะหรือกรรณหา
พญากง พญาพาน มาจาก กังสะวธะ และ กังสะวธะ มาจาก Oedipus at Colonus
จากเรื่องกังสะวธะ วรรณกรรมของอินเดียเรื่องนี้ นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าเป็นเนื้อหาที่ได้รับอิทธิพลมาจากวรรณกรรมของกรีช แต่งขึ้นโดยซอฟโฟคลิส ชึ่งมีชีวิตอยู่ในระหว่างปี ๔๙๖ - ๔๐๖ ก่อนคริสตกาล เรื่อง Oedipus at Colonus โดยมีเรื่องย่อดังนี้
อิดิปุส เป็นลูกชายของพระราชาไลอัส และพระราชินีโจคาสตา แห่งเมืองธีบิสของอียิปต์ เนื่องด้วยตัวราชาไลอัส ต้องคำสาปแช่งจากการที่ไปทำมิดีมิร้ายเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทำให้ตัวลูกชาย อิดิปุส เกิดมาพร้อมกับคำทำนายที่ว่า จะมีชะตากรรมให้ฆ่าบิดา และแต่งงานกับมารดาของตัวเอง ราชาไลอัสหวาดกลัวคำทำนายนี้มาก จึงจับลูกชายแรกเกิดของตัว มัดเท้าทั้งสองข้าง และนำไปทิ้งไว้ให้ตายเองบนภูเขา แต่ด้วยเคราะห์ดี มีคนเลี้ยงแกะไปพบเจออิดิปุส และนำไปถวายแก่ราชาและราชินีแห่งเมืองโคลินท์ ซึ่งทั้งสองได้รับเลี้ยงอิดิปุสเป็นลูกบุญธรรมของตัวเองตั้งแต่นั้นมา เมื่อเติบใหญ่ขึ้น อิดิปุสได้ฟังข่าวลือเกี่ยวกับตัวเอง ว่าเกิดมาพร้อมคำทำนายอันน่าสยดสยอง เขาจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปหาที่พำนักของนักพยากรณ์ที่อยู่ห่างไกล และเมื่อได้ฟังคำทำนายนั้นแล้ว ตัวอิดิปุส ก็ตัดสินใจหนีออกมาจากโคลินท์ เดินทางร่อนเร่ไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้คำทำนายนั้นเป็นจริง ระหว่างการเดินทาง มาถึงสะพานแคบที่รถม้าสวนกันไม่ได้ มีชายชรา กับบริวารนั่งรถม้าสวนทางมาแล้วไม่ยอมหลีกทาง เกิดทะเลาะวิวาทกัน ก็เลยสู้กันอีดิปุสมีฝีมือกว่าก็ฆ่าชายชราผู้นั้นตาย บริวารก็หนีไป หลังจากนั้นอิดิปุส ก็เดินทางต่อไปถึงเมืองธีบิส ซึ่งในขณะนั้นที่เมืองธีบิส ถูกเจ้าแม่
เฮรา ซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงโทษชาวเมืองธีบีส เพราะความเมามายไร้สติของพวกเขา หลังจากที่ ไดโอนิซุส เทพแห่งเมรัยได้มาสอนการทำไวน์ ให้แก่ชาวเมืองนี้ แปลงกายมาเป็นสฟิงซ์ จับชาวเมืองกิน แต่นางสฟิงซ์จะไม่เข้าขย้ำเหยื่อ ที่ผ่านมาในทันทีทันใด แต่จะให้โอกาสเหยื่อด้วยการถามปัญหา ที่เรียกกันว่าปัญหาของตัวสฟิงซ์ ซึ่งสัญญาจะปล่อยเหยื่อเป็นอิสระ หากตอบปัญหาของนางได้ เป็นที่หวาดกลัวของชาวเมืองเป็นอย่างมาก เวลาผ่านมาจนกระทั่งอิดิปุสผ่านมาในเมืองธีบีส สฟิงซ์กระโดดออกมา จากหลังพุ่มไม้ แลบลิ้นเลียปากด้วยความอยากกินเนื้อ ก่อนจะส่งเสียงคำรามให้ขวัญหาย เข้าใส่เอดิปุสและถามปัญหา “อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า เดินสอง ตีน ในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น” เอดิปุสตอบอย่างไม่ลังเลว่า “มันก็คือมนุษย์นั่นแล ย่อมเดินด้วยการคลานทั้งมือและเข่า เมื่อยังเป็นเด็ก ยืนด้วยขาสอง ข้าง เมื่อโตเต็มที่ และต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง เป็นขาที่สามในยามสายัณห์ของชีวิต" สฟิงซ์เมื่อได้ฟังคำตอบ ที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากมนุษย์หน้าไหนเลย ถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ นางโผบินขึ้น บนฟ้า แล้วทิ้งตัวดิ่งลงฆ่าตัวตายในทะเลหลังจากที่สฟิงซ์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุดของปวงชาวธีบีสได้ตายไป ผู้รักษาการณ์เมืองธีบีส ได้เชิญเอดิปุสขึ้นเป็นราชา และให้แต่งงานกับราชินีม่าย โจคัสต้า ของกษัตริย์องค์ก่อน อยู่ด้วยกันมาจนมีลูกด้วยกัน ๔ คน เป็นหญิง ๒ คน และชาย ๒ คน ชื่อลูกสาวคนโตชื่อแอนธิโกเน คนรองเป็นผู้หญิงชื่ออิสมาเน และมีลูกชายอีกสองคนคือ เอทีโอเคลสและโพลินีเคลส
ในเวลาต่อมาบ้านเมืองเกิดฝนแล้งติดกันหลายปี อีดิปุสส่งคำถามไปถามเทพเจ้าว่าจะทำอย่างไรดี เทพเจ้าได้ให้คำตอบว่าเพราะในเมืองมีคนทำผิดฆ่าพ่อและได้แม่เป็นเมีย ความแตกเมื่อเขาซักจนได้ความว่าพระราชาองค์เก่าถูกเขาฆ่าตายที่สะพาน เป็นพระราชาแห่งเมืองธีบิส และเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของราชาและราชินีแห่งเมืองโคลินท์ แต่เป็นลูกของพระราชาไลอัส และพระราชินีโจคาสตา แห่งเมืองธีบิส ด้วยความเสียใจ เมื่ออิดิปุสได้รู้ความจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตน รู้ว่าตนนั้นได้ทำปิตุฆาตและแต่งงานกับแม่ตนเอง คือนางโจคัสตา ซึ่งเมื่อนางรู้ความจริงจึงแขวนคอตาย ส่วนอิดิปุส เลือกที่จะไถ่บาปให้แก่ความผิดที่ตนเองได้ก่อด้วยการควักลูกตาทิ้งและออกเดินทางร่อนเร่
เมืองธีปส์จึงตกอยู่ในความดูแลของลูกชายทั้งสองของอิดิปุส คือ เอทีโอเคลสและโพลินีเคลส ซึ่งจะผลัดกับปกครองเมือง โดยมีลุงครีออนผู้เป็นพี่ชายของนางโจคัสตาเป็นที่ปรึกษา เนื่องจากสงครามการสู้รบที่ยืดเยื้อ ทำให้ลูกชายทั้งสองของตาย เอทิโอเคลสนั้นได้รับการฝังร่างตามประเพณี แต่โพลินิเคลสน้องชายคนเล็กนั้น ศพถูกทิ้งไว้กลางดิน โดยครีออนกษัตริย์องค์ใหม่สั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดฝังศพเขา แต่แอนธิโกเน พี่สาวฝ่าฝืนและทำการฝังศพน้องชายผู้เป็นที่รัก เธอจึงถูกลงโทษโดยถูกขังให้ตายทั้งเป็น
อิดิปุสกับเจ้าแม่
เฮรา ที่แปลงกายเป็นสฟิงซ์










การศึกษาประวัติความเป็นมาของพระปฐมเจดีย์ ภายหลังการบูรณปฏิสังขรณ์ จนถึงปัจจุบัน
ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จไปทรงยกยอดพระปฐมเจดีย์ ณ วัน ๔ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ รุ่งแล้ว ๖ บาท ตรงกับวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๑๓ เวลา ประมาณ ๐๖.๓๖ นาฬิกาในปัจจุบัน เรื่องราวของพิธียกยอดพระปฐมเจดีย์นี้ ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือ สยามริโปสิตอรี่ ค.ศ. ๑๘๗๐ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๑๓ หน้า ๓๙๓ – ๓๙๔ ในหัวเรื่อง Fixing the Summit of the Prachedi
[33] เรื่องราวประวัติความเป็นมาของพระปฐมเจดีย์ ก็เป็นที่สนใจที่จะศึกษาจากวิชาการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ แต่ทว่าการศึกษาในช่วงเวลาหลังนี้ได้ไปที่เน้นที่โบราณวัตถุ โบราณสถานที่พบในเมืองนครปฐมด้วย โดยเริ่มจาก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงวิจารณ์เรื่องพระราชพงศาวดารกับเรื่องราชประเพณีการตั้งพระมหาอุปราช พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๒๐ ได้พระราชดำริถึงพระปฐมเจดีย์ที่เมืองนครชัยศรี ความโดยสรุปว่า เมืองนครชัยศรีเคยเป็นราชธานีใหญ่ เนื่องจากพบหลักฐานเป็นโบราณสถานที่ใหญ่โตหลายแห่ง เช่น พระปฐมเจดีย์และพระประโทนเจดีย์ ที่พระปฐมเจดีย์นั้นได้ขุดพบพระเจดีย์ดินเผาองค์ย่อมๆ ข้างในมีแผ่นดินจารึกอักษร เย ธมฺมา ซึ่งเหมือนกับที่ชาวอังกฤษขุดได้ในพระเจดีย์ที่อินเดีย ลักษณะฝีมือช่างและธรรมเนียมที่แตกต่างจากที่อื่นๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าราชธานีแห่งนี้คงจะได้ยักย้ายเปลี่ยนแปลงไปในพระนครต่างๆ เป็นหลายก๊กหลายเหล่า
[34]
ต่อมาในพุทธศักราช ๒๔๒๗ นายแซมวล บีส (Samuel Beal)ได้แปลบันทึกการเดินทางของพระภิกษุจีน ซวนซัง หรือ เฮียน-ซัง หรือที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักในนามพระถัง-ซำ-จัง ลงในหนังสือ Siyuki: Buddhist records of the Western world (Hiuan Tsang)
ความโดยรวมเป็นเล่าเรื่องถึงการเดินทาง พระ ซวนซัง หรือ เฮียน-ซัง ที่เดินจากจีนไปศึกษาพระธรรมในอินเดีย ในพุทธศักราช ๑๑๗๒ ถึง พุทธศักราช ๑๑๘๘ ตอนหนึ่งได้กล่าวถึงอาณาจักร โถ-โล-โป-ติ ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า ทวารวดี อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ในดินแดนประเทศไทย
[35]
ครั้นต่อมานายฟูแนโร นักสำรวจชาวฝรั่งเศส มาพบธรรมจักรที่รวบรวมไว้บนพระปฐมเจดีย์ เมื่อ พุทธศักราช ๒๔๓๘ และได้นำรูปธรรมจักรไปตีพิมพ์ และอธิบายว่าวงล้อเหล่านี้ คือ ล้อรถของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู แต่นายลาจองเกียร์ ไม่เชื่อว่าเป็นล้อรถ เพราะไม่มีการเจาะเป็นรูที่ดุมเลย แต่น่าจะเป็นใบเสมามากกว่า ต่อมาท่านศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ได้นำเสนอว่า ในการค้นพบธรรมจักรนั้นมักจะพบกวางมอบอยู่ใกล้ๆ ในบริเวณเดียวกัน ท่านจึงสันนิษฐานว่าธรรมจักรและกวางมอบเหล่านี้คงจะสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการปฐมเทศนา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๙ นายตากากุสุได้แปลบันทึกการเดินทางของพระภิกษุจีนอีกรูปหนึ่งคือ อี้จิง (I-Tsing) ที่ได้เดินทางไปแสวงบุญ ณ ประเทศอินเดียเช่นเดียวกับพระภิกษุเหี้ยนจัง แต่เป็นการเดินทางทางน้ำในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ บันทึกนี้ปรากฏในเอกสารชื่อ A record of the Buddhist Religion; as practiced in India and the Malay Archipelago (A.D. ๖๗๑-๖๗๕) by I-Tsing เนื้อหาได้กล่าวถึงการเดินทางออกจากเมืองกวางตุ้ง (Canton) โดยเดินทางทางทะเลเพื่อไปยังประเทศอินเดีย โดยผ่านทางท่าเรือเมืองหรืออาณาจักรที่สำคัญตามเส้นทาง ได้แก่ หลินยี่ (Lin-I) ฟูนัน (Fu-nan) ทวารวดี (Dvaravati) ลังเจียซู (Lan-Chia-Shu หรือ Lankasuka) ศรีวิชัย (Sri-Vijaya) และโมโลยู (Mo-lo-Yu) ประเด็นสำคัญของหนังสือเล่มนี้เป็นการกล่าวสนับสนุนเรื่องชื่อและที่ตั้งของอาณาจักรทวารวดีส่งผลให้เกิดความน่าเชื่อถือและเป็นไปได้มากขึ้น
[36]
บทความเรื่อง Deux intineraires de Chine en Inde ของ นายปอล เปลลิโยต์ (Paul Pelliot) ในหนังสือเรื่อง Bulletin de I’Ecole Française d’Extrême-Orient, Vol. IV
ในปีพุทธศักราช ๒๔๔๗ นายปอล เปลลิโยต์ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ซึ่งศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์จีนและเป็นผู้บุกเบิกการศึกษาเกี่ยวกับสันทางสายไหม ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ถังและพบว่าในหนังสือประวัติศาสตร์ใหม่สมัยราชวงศ์ถัง (Siu T’ang Chou) ได้กล่าวถึงชื่อของอาณาจักรฉวนโลโปตี (Tchouan-lo-po-ti) และในหนังสือประวัติศาสตร์เก่าสมัยราชวงศ์ถัง (Kian T’ang Chou) ปรากฏชื่อของโถ-โล-โป-ตี ซึ่งแน่ใจว่าตรงกับภาษาสันสกฤตคำว่า ทวารวดี และเป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ประเด็นสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ นายปอล เปลลิโยต์ ได้เป็นผู้เสนอหลักฐานสำคัญที่สนับสนุนการมีอยู่จริงของอาณาจักรทวารวดี และได้พิจารณาหลักฐานสำคัญคือจารึกที่พบในอาณาจักรทวารวดี โดยได้เสนอว่าคนมอญหรือเขมรเป็นชาวพื้นเมืองที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมนี้ เพราะได้พบจารึกภาษามอญและเขมรจำนวนมากในบริเวณภาคกลางของประเทศไทย (Paul Pelliot, ๑๙๐๔)
ประเด็นของคนมอญเป็นเจ้าของอาณาจักรทวารวดีนี้มีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากพบหลักฐานชั้นหลังที่ได้แสดงให้เห็นว่ามีงานศิลปกรรมสมัยทวารวดีที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับภาษามอญเลย เช่น ทางภาคตะวันออกของประเทศไทยที่ปราจีนบุรี เป็นต้น และการนำชื่อของเชื้อชาติและภาษามาเป็นตัวกำหนดว่าเป็นเจ้าของวัฒนธรรมนั้นไม่ถูกต้องเสมอไป เนื่องจากงานศิลปกรรมเกิดจากการนับถือศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถมีขอบเขตที่จำกัดได้
ปีพุทธศักราช ๒๔๕๒ นายลูเนท์ เดอ ลาฌองกิแยร์ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสได้เดินทางเข้ามาสำรวจในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นคนแรกและครั้งแรกที่มีการสำรวจทางโบราณคดีเกี่ยวกับทวารวดี โดยเฉพาะพระพุทธรูปสมัยคุปตะและหลังคุปตะที่พบในจังหวัดลพบุรี และนครปฐม นายลูเนท์ เดอ ลาฌองกิแยร์ ได้กล่าวถึงข้อมูลทางด้านโบราณคดีบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาว่ามีโบราณวัตถุแบบหนึ่งที่พบที่เมืองลพบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี ปราจีนบุรี และราชบุรี มีลักษณะเป็นแบบอินเดีย-เขมร และได้ให้ชื่อว่าเป็นศิลปะ กลุ่มศิลปะแบบฮินดูที่ไม่ใช่เขมร ซึ่งปรากฏอยู่ในบทความเรื่อง Domaine archeologique du Siam ในหนังสือเรื่อง Bulletin de la Commmission archeologique de l’indochine.
[37]

สมัยรัชกาลที่ ๖ (พุทธศักราช ๒๔๕๓-๒๔๖๘) -รัชกาลที่ ๗ (พุทธศักราช ๒๔๖๘-๒๔๗๗)
คำอธิบายพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา พระนิพนธ์ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในหนังสือ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์พระอธิบายประกอบ ภาคต้น
ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๗ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์คำอธิบายพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาซึ่งเป็นคำอธิบายประกอบเพิ่มเติมเนื้อหาของพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม๑
พระนิพนธ์คำนำของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่องพงศาวดารสยามประเทศตอนต้น มีความที่กล่าวถึงพระปฐมเจดีย์และเมืองนครปฐม ในประเด็นที่วิเคราะห์ว่าพระปฐมเจดีย์เป็นพระเจดีย์วิหารฝ่ายพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ เพราะสร้างครั้งวิชาช่างอินเดียยังไม่เจริญ จึงเห็นได้ว่าพวกอินเดียแต่แรกที่เข้ามายังอ่าวสยามมาอยู่ที่เมืองนครปฐมก่อน โดยเชื่อมโยงกับเนื้อหาในคัมภีร์มหาวงศ์พงศาวดารลังกา ที่กล่าวถึงการเผยแพร่พระพุทธศาสนาของพระสมณฑูตจากอินเดียมายังสุวรรณภูมิประเทศ ทั้งนี้ทรงเชื่อว่าเมืองนครปฐมเป็นเมืองใหญ่ในสุวรรณภูมิประเทศที่ได้รับการเผยแพร่พระพุทธศาสนาจากพระสมณฑูตที่เดินทางมา เนื่องจากพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก โดยทรงอ้างถึงพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงจารึกไว้ที่พระปฐมเจดีย์ (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์พระอธิบายประกอบ ภาคต้น, ๒๕๐๕, ๑-๗๓)

ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๑ จารึกกรุงสุโขทัย ของ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์
ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๗ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์
[38] ได้แต่งหนังสือเรื่อง ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๑ เป็นหนังสือที่รวบรวมจารึกสมัยสุโขทัยและจารึกต่างๆ ที่รวบรวมได้ในสมัยนั้น พร้อมทั้งคำอ่านและคำอธิบายเพิ่มเติมของจารึกแต่ละหลักซึ่งเรียบเรียงโดยท่านเอง
ประเด็นที่เกี่ยวกับเมืองนครปฐมอยู่ในหมวดที่ ๑ ศิลาจารึกของกรุงทวารวดี กล่าวว่า ปรากฏศักราชราว ๑๒๕๐ พบที่เมืองลพบุรีและเมืองราชบุรีใช้ภาษามคธและภาษามอญ โดยได้ขยายความเพิ่มเติมในเชิงอรรถไว้ว่า กรุงทวารวดีเติมอยู่ที่ฝั่งอ่าวสยามข้างทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ราชธานีบางทีจะอยู่ที่เมืองนครปฐมบัดนี้ มีหัวเมืองต่างๆ อยู่ในอาณาเขตคือ เมืองลพบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี และกล่าวว่าพระพุทธรูปและโบราณสถานที่พบในจังหวัดเหล่านี้ โดยมากเป็นฝีมือช่างเก่าที่สุดลักษณะฝีมือคล้ายของช่างอินเดียครั้งราชวงศ์คุปตะ แต่นามที่เรียกว่าทวารวดีนั้น เป็นแต่ความคาดคะเนนของข้าพเจ้าเพราะเป็นชื่อเรียกในจดหมายเหตุจีนหาปรากฏในศิลาจารึกไม่ (ยอร์ช เซเดส์, ๒๔๖๗, คำนำ-๒)

ตำนานพุทธเจดีย์สยาม พระนิพนธ์ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๙ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์หนังสือเรื่องตำนานพุทธเจดีย์สยามขึ้น หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกที่อธิบายถึงประวัติความเป็นมา คติความเชื่อ และความหมายของโบราณวัตถุสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ (หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จปรินิพพาน) รวมไปถึงการแบ่งยุคสมัยของพระพุทธเจดีย์แบบต่างๆ ที่มีในประเทศไทยด้วย
ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับเมืองนครปฐมคือ ทรงเสนอคำว่า ทวารวดีคือชื่อราชธานีของชนชาติลาวหรือละว้า โดยตั้งอยู่ที่เมืองนครปฐมในปัจจุบัน ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าเมืองทวารวดี ซึ่งเป็นเมืองที่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาประดิษฐานเป็นครั้งแรกในราวก่อนปีพุทธศักราช ๕๐๐ โดยททรงใช้หลักฐานจากจดหมายเหตุจีนในการระบุชื่อทวารวดีและโบราณวัตถุสถานต่างๆ ได้แก่ เจดีย์ต่างๆ บริเวณเมืองนครปฐมโดยเฉพาะองค์พระปฐมเจดีย์ จารึกพระธรรมในภาษาบาลี ธรรมจักร พระแท่นพุทธอาสน์ และรอยพระพุทธบาท ต่อมาเมื่อเกิดคติการสร้างพระพุทธรูปในกรุงทวารวดีซึ่งเข้าใจว่าคนอินเดียจากเมืองมคธราฐสมัยราชวงศ์คุปตะเป็นผู้เผยแพร่ (พุทธศักราช ๙๐๐) เพราะมีรูปแบบพระพุทธรูปเหมือนกัน คือ เป็นพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท นอกจากนี้ ยังทรงกำหนดว่าทวารวดีมีความหมายรวมถึงสมัยของพุทธเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดที่มีในประเทศไทย มีอายุอยู่ในราวปีพุทธศักราช ๕๐๐ โดยทรงอธิบายว่า พุทธเจดีย์สมัยทวารวดีพบมากที่สุดที่เมืองนครปฐมและเชื่อว่าได้แบบอย่างมาจากเมืองมคธราฐ โดยจะประกอบด้วย ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์ และอุเทสิกเจดีย์ ซึ่งธาตุเจดีย์คือพระสถูปขนาดใหญ่ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุดังเช่น องค์พระปฐมเจดีย์ บริโภคเจดีย์คือต้นพระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาซึ่งสูญหายไปแล้ว ธรรมเจดีย์คือจารึกคาถาเย ธมฺมา และอุเทสิกเจดีย์คือโบราณวัตถุที่สร้างด้วยศิลาก่อนที่จะมีคติการสร้างพระพุทธรูป อันได้แก่ ธรรมจักร กวางหมอบ สถูป และพุทธอาสน์ เป็นต้น (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ๒๕๑๔)

[1] กรมศิลปากร.เรื่อง พระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจชำระใหม่และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๒๘(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมศิริชัย(ชิต ชิตวิปุลเถร) ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘,น.๑๐๖ - ๑๐๗
[2] กรมศิลปากร.ประชุมจารึก ภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย.กรุงเทพ:อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิซซิ่ง,๒๕๔๘,น ๙๙ - ๑๐๐
[3] กรมศิลปากร.ประชุมจารึก ภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย.กรุงเทพ:อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิซซิ่ง,๒๕๔๘,น๑๑๔ - ๑๑๕
[4] กรมศิลปากร.เรื่อง พระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจชำระใหม่และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๒๘(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมศิริชัย(ชิต ชิตวิปุลเถร) ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘,น.๓๐๐
[5] กรมศิลปากร.สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงศรีอยุธยา – ฉบับกรุงธนบุรี เล่มที่ ๑.กรุงเทพฯ:อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชซิ่ง,๒๕๔๒.น.๔
[6] จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ.พระราชพิธีสิบสองเดือน พิมพ์ครั้งที่ ๑๔.พระนคร:ศิลปบรรณาคาร,๒๕๑๖.น ๕๓๘
[7] กรมศิลปากร.สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงศรีอยุธยา – ฉบับกรุงธนบุรี เล่มที่ ๑.กรุงเทพฯ:อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชซิ่ง,๒๕๔๒.น.๕
[8] กรมศิลปากร.สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงศรีอยุธยา – ฉบับกรุงธนบุรี เล่มที่ ๑.กรุงเทพฯ:อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชซิ่ง,๒๕๔๒.น ๖
[9] กรมศิลปากร.คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัดและพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริรฐอักษรนิติ์.พระนคร:สำนักพิมพ์คลังวิทยา.พิมพ์ครั้งที่ ๒ ๒๕๑๕.คำนำ น.(๑)-(๑๐)
[10] คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ฯสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี.คำให้การขุนหลวงหาวัดประดูทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง.กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว,๒๕๓๔.น.๒๔-๒๕
[11] กรมศิลปากร.เรื่อง พระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจชำระใหม่และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๒๘(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมศิริชัย(ชิต ชิตวิปุลเถร) ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘,น.๒๖๔
[12] กรมศิลปากร.เรื่อง พระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจชำระใหม่และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๒๘(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมศิริชัย(ชิต ชิตวิปุลเถร) ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘,น.๒๖๕
[13] พระราชพงศาวดารเหนือ ตีพิมพ์ครั้งแรกในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2457
[14] ภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ขึ้นครองราชย์ ได้มีรับสั่งให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงชำระพระราชพงศาวดารใหม่ และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรวจแก้ไขด้วยพระองค์เอง เรียกกันว่า พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา
[15] คำว่า พระประธม นี้ คำในต้นฉบับใช้ ธ บ้าง ท บ้าง สังเกตไม่ได้ว่าจะใช้อักษรไหน
[16] พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท.กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ทรงชำระ .นิราศพระประธม แจกในการพระกฐินพระราชทาน มหาอำมาตย์โทพระราชวรวงศ์เธฮ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ อุปนายก ราชบัณฑิตยสภา หอพระสมุดวชิรญาณ ณ วัดดุสิดาราม พระพุทธศักราช ๒๔๖๙.กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร,๒๔๖๙.น.๕๓ - ๕๔
[17] หมื่นพรหมสมพัตสร (นายมี หรือเสมียนมี).นิราศพระแท่นดงรัง
[18] สุนทรภู่.นิราศพระประธม
[19] ตามโบราณราชประเพณี เมื่อพระพระมหากษัตริย์เสด็จสวรรคตแผ่นดินจะว่างพระมหากษัตริย์มิได้ ผู้ที่สืบราชสมบัติต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นยังทรงผนวชอยู่ จึงทรงรับราชสมบัติและถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๙๓ แล้วรอฤกษ์ลาผนวช วันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๙๓ ซึ่งปฏิทินทางจันทรคติยังเป็น จุลศักราช ๑๒๑๒ โทศก อ้างจาก กรมศิลปากร สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ.ประชุมภาพประวัตฺศาสตร์แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๔๘.น.๙
[20] กรมศิลปากร.เรื่อง พระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจชำระใหม่และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๒๘(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมศิริชัย(ชิต ชิตวิปุลเถร) ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘,น.๘๒ -๘๔
[21] กรมศิลปากร.เรื่อง พระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจชำระใหม่และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๒๘(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมศิริชัย(ชิต ชิตวิปุลเถร) ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘,น.๘๘
[22] กรมศิลปากร.เรื่อง พระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจชำระใหม่และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๒๘(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมศิริชัย(ชิต ชิตวิปุลเถร) ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘,น.๘๖
[23] กรมศิลปากร.เรื่อง พระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจชำระใหม่และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๒๘(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมศิริชัย(ชิต ชิตวิปุลเถร) ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘น.๘๕ - ๘๖
[24] กรมศิลปากร.เรื่อง พระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจชำระใหม่และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๒๘(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมศิริชัย(ชิต ชิตวิปุลเถร) ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘,น.๗๐
[25] กรมศิลปากร.วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ เล่ม ๑.กรุงเทพฯ:บ.ไทยพรีเมียร์ พริ้นติ้ง จำกัด,๒๕๓๔
[26] กรมศิลปากร.เรื่อง พระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจชำระใหม่และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๒๘(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมศิริชัย(ชิต ชิตวิปุลเถร) ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘,น.๑๓๐
* พระวิเชียรปรีชา (น้อย) เจ้ากรมราชบัณฑิตฝ่ายพระราชวังบวร ในรัชกาลที่ ๑ เป็นผู้รวบรวมเรื่องมาเรียบเรียง พงศาวดารเหนือ
** พระยามหาอรรคนิกร(เหม็น) จางวางทหารปืนเมืองสมุทรปราการ ในสมัยรัชกาลที ๔ ได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาพิชัยรณฤทธิ์
[27] สงสัยจะคัดมาผิด
[28] วัดเขมาปากน้ำนี้ เข้าใจว่าได้แก่วัดเขมาภิรตาราม ที่จังหวัดนนทบุรี
[29] สงสัยจะคัดลอกกันต่อ ๆ มาผิด จึงอ่านไม่ทราบความหมาย
[30] เมืองสระหลวงและสองแคว คือ เมืองพิจิตรและพิษณุโลก?
[31] ได้มา ๖๕๐ องค์ นำพระธาตุไปบัญจุไว้ในที่ต่างๆ ตามที่ระบุไว้รวม ๕๑๙ องค์ ขาดไป ๑๓๑ องค์ บางทีจะระบุสถานที่ขาดไปบ้าง หรือบอกจำนวนขาดไปบ้าง
[32] เรื่องพระมหาเถรไหล่ลายตามที่เล่านี้ ดูจะเป็นเรื่องที่แซกเข้ามาเพราะไม่เกี่ยวกับพระปฐมเจดีย์และพระประโทณ หรือมิฉนั้นก็จะขาดความที่เกี่ยวโยง
[33] กรมศิลปากร.เรื่อง พระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจชำระใหม่และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์.กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๒๘(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมศิริชัย(ชิต ชิตวิปุลเถร) ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘,น.๑๗๙

[34] พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิจารณ์เรื่องพระราชพงศาวดารกับเรื่องราช
ประเพณีการตั้งพระมหาอุปราช. พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพินทุ์เพญภาคย์. พระนคร:
โรงพิมพ์พระจันทร์, ๒๔๗๙.๔-๕
[35] Samuel Beal. Siyuki: Buddhist records of the Western world (Hiuan Tsang). London: Trubner, ๑๘๘๔.
[35] Lunet de Lajonquiere. “Domaine archeologique du Siam.” Bulletin de la Commmission archeologique de l’indochine. ๑๙๙๐., p. ๑๘๘
[36] J. Takakusu, (Junjiro). A record of the Buddhist Religion; as practiced in India and the
Malay Archipelago (A.D. ๖๗๑-๖๗๕) by I-Tsing. Second India Edition. India: New Delhi, ๑๙๘๒.

[37] Lunet de Lajonquiere. “Domaine archeologique du Siam.” Bulletin de la Commmission
archeologique de l’indochine. ๑๙๙๐.

[38] นักภาษาศาสตร์ แห่งสำนักงานฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพาทิศ (EFEO)