วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กลุ่มคนรักพิพิธภัณฑ์ ตะลุยเสียมเรียม

เสียมเรียบ กัมพูชา
      คณะกลุ่มคนรักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ เริ่มออกทัศนศึกษาประเทศเพื่อนบ้านของเราเป็นครั้งแรกโดย สถานที่แรกที่พวกเราคิดกันคือ "เขมร" โดยเริ่มเดินทางจากคณะศึกษาศาสตร์ ม.ศิลปากร วิทยาเขต พระราชวังสนามจันทร์ ในเวลา 24.00 น. ไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองปอยเปตเช้าพอดี จากนันจึงเริ่มเข้าสู่เนทางวิบาก จากปอยเปต ถึง เสียมเรียบ ใช้เวลาตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ซุ้มประตูเข้าเมืองเขมร

สภาพถนนตลอดเส้นทาง

อยู่ในเส้นทางวิบากประมาณ 6 ชั่วโมง พอไปถึงเข้าสู่ที่พัก คิดว่าจะได้นอนเล่นอย่างมีความสูข แต่ป๋าตั้มก็เรียกพวกเราขึ้นรถออกเดินทางไปลงเรือเที่ยวโตนเลสาปต่อ

เรือล่องโตนเลสาป

เรือขายของในโตนเลสาป
จากนั้นกับเข้าเมืองเสียมเรียบเข้ามารับประทานอาหารเย็น เคล้าเสียงดนตรี
รุ่งขึ้นเช้าเราออกเดินทางไปที่แรกคือ ปราสาทปักษีจำกรง

ปราสาทปักษีจำกรง สร้างในปลายพุทธศตวรรษที่ 15 (พ.ศ. 1471)สมัยของพระเจ้าหรรษวรมันที่ 1 และบูรณะในรัชสมัยของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 เป็นศิลปะแบบบาแคงและเกาะแกร์ มีรูปทรงปิรามิด ความเป็นมามีนิทานพื้นบ้านเล่าขานเรื่องของพญานกได้นำเอาโอรสของพระราชา ซึ่งตกอยู่ในอันตรายระหว่างการแย่งชิงราชสมบัติมาเลี้ยงจนเติมใหญ่จึงกลับมาชิงราชบัลลังก์คืนได้ในภายหลัง และเมื่อปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์จึงได้ทรงสร้างปราสาทนี้เป็นการทดแทนบุญคุณของพญานก
ภายหลังจากการชมปิรามิดเขมรเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินข้ามสะพานเข้านครธม ที่สะพานแห่งนี้อยู่ทางด้านทิศใต้ของเมือง โดยแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน

ผมกับท่านอาจารย์อนัน ปั้นอินทร์ กับสะพานนาค ฝ่ายอสูร ก่อนเมืองนครธม

คูน้ำรอบเมืองนครธม

ซุ้มประตูทางเข้านครธมทางด้านทิศใต้

นครธมเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของ นครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมายนับแต่สมัยแรกๆ และที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมัน เรียกว่า ปราสาทบายน และมีพื้นที่สำคัญอื่นๆ รายล้อมพื้นที่ชัยภูมิถัดไปทางเหนือ


เข้ามาในเขตเมืองนครธมแล้วจุดแรกที่เราเดินไปชมคือ
ปราสาทบายน
เป็นปราสาทหินของอาณาจักรเขมร อยู่ในบริเวณของใจกลางนครธม สร้างขึ้นเป็นวัดประจำสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7-8 ก่อสร้างในราวปี พ.ศ. 1724-พ.ศ. 1763[1] หลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7ทรงได้ชัยชนะจากการขับไล่กองทัพอาณาจักรจามปา นับเป็นศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีความซับซ้อนทั้งในแง่โครงสร้างและความหมาย เนื่องจากผ่านความเปลี่ยนแปลงด้านศาสนาและความเชื่อมาตั้งแต่คราวนับถือเทพเจ้าฮินดู และพุทธศาสนา อาคารมีลักษณะพิเศษ เนื่องจากส่วนของหอเป็นรูปหน้าหันสี่ทิศ จำนวน 49 หอ ปัจจุบันคงเหลือเพียง 37 หอ ลักษณะโดยทั่วไปจะมี 4 หน้า 4 ทิศ แต่บางหออาจมี 3 หรือ 2 แต่บริเวณศูนย์กลางของกลุ่มอาคารจะมีหลายหน้า
ลักษณทางสถาปัตยกรรมของบายนก็เช่นเดียวกับเรื่องความเชื่อ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงมาในหลายๆ สมัย กษัตริย์ในยุคหลังๆ พบว่าเป็นการง่ายกว่าที่จะปรับปรุงวัดแห่งนี้ แทนที่จะรื้อสร้างใหม่เช่นที่ทำกัน และใช้เป็นวัดประจำสมัยต่อเนื่องกันมา

ภาพปูนปั้นรอบระเบียงคต เล่าเรื่องแสดงวิถีชีวิตของชาวขะแมร์

อ.สร้อยฟ้า กับใบหน้าบายน
ภายหลังจากชมปราสาทบายนเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์กบ พาพวกเราเดินผ่านพระราชวังไป
ปราสาทพิมานอากาศ

ปราสาทพิมานอากาศ สร้างในรัชสมัยใด ยังไม่ปรากฏแน่ชัด ตั้งอยู่ด้านหลังของพระราชวัง มีความเชื่อว่า กษัตริย์ขะแมร์  จะต้องขึ้นไปบำเพ็ญภาวนา และร่วมหลับนอนกับนางนาค 9 เศียร บนปราสาทพิมานอากาศทุกคืน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งของอาณาจักรขะแมร์

และที่พลาดไม่ได้ต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

(เดี๋ยวเขียนต่อนะครับ อีกยาวไกล)

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จากเมืองท่า สู่เมืองหลวง ของราชวงศ์ปัลลวะ

จากมัลลปุลัม สู่กาญจีปุลัม
               เราเที่ยวในมัลลปุลัมจนหมดแล้วมีทั้งต้องปีนรั้วเข้าไปดู ปั่นจักรยานหลงเข้าไปบ้างคิดว่าน่าจะหมดแล้วจึงออกเดินทางต่อไปที่เมืองหลวงของราชวงศ์ปัลลวะกันต่อ คือเมืองกาญจีปุลัมที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ในแรกเราคิดกันว่าจะนั่งรถโดยสาร แต่พอไปถึงบัสสเตนส์ ต้องเปลี่ยนใจเพราะคนแน่นมากๆ จึงไปหาเช่าแท็กซี่ เราตกลงราคากันได้ที่ 800 Rs ได้ฤกษ์ผจญภัยตอนเที่ยงไปถึงกาญจีปุลัมประมาณ18.00 น.

พาหนะที่นำเราสู่กาญจีปุลัม โดยชายในชุดดำเป็นสารถี


สภาพตลอดเส้นทาง เป็นทุ่งนา ป่าตาล สลับบ้านคนตามวิถีชนบทอินเดีย


หนุ่มน้อยกับหม้อน้ำ
 
บนท้องถนนเมืองกาญจีปุลัม ด้านหลังเป็นภาพการชุมนุมประท้วง

การต่อรองราคากับ"ริกเซอร์"เพื่อไปวัดไกรราชสนะ
(Kailasnatha Temple)

เมืองกาญจีปุลัม นอกจากจะเป็นศูนย์กลางการปกครองของราชวงศ์ปัลลวะแล้วยังเคยเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาในอินเดียใต้ มีพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงมากในอดีตคือ ท่านโพธิธรรม ซึ่งนำพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ในประจีน ที่เรารู้จักกันในนามท่านปรมาจารย์ "ตักม้อ"  ผู้ให้กำเนิดวิชามวยของ “วัดเส้าหลิน” อันมีชื่อเสียงโด่งดัง ที่นี่ยังเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมอันเลื่องชื่ออีกด้วย

พี่ปัญญาที่หน้าวัดไกรราชสนะ(Kailasnatha Temple)

วัดไกรราชสนะ(Kailasnatha Temple) เดิมเคยเป็นศาสนสถานของชาวพุทธมาก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นศาสนสถานของชาวฮินดู เป็นต้นแบบให้กับงานศิลปกรรมในชวา,เขมร และประเทศไทย

                                      
เสาระเบียงคตรอบปรางค์ประธานKailasnatha Temple
                                              เป็นรูปสิงห์มีเขามีปีกคล้ายกับศิลปะทวารวดี
เสาหลอกปรางค์ประธานKailasnatha Temple
              ก็เป็นรูปสิงห์มีเขามีปีกคล้ายกับศิลปะทวารวดีเช่นเดียวกัน

กลุ่มคนรักพิพิธภัณฑ์ meetings and conferences บ้านกรูด




ระหว่างวันที่ 26-27 ธันวาคม พ.ศ. 2552



รองประธานกลุ่มฯ กับเลขากลุ่ม


ถ่ายรูปที่ระลึก

Party

ร่อนทอง

Shopping ด่านสิงขร



ระลึกความหลัง เพลินวาน

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กลุ่มคนรักพิพิธภัณฑ์ เยื่อนถิ่นเจ้าชายจิตรเสนแห่งเจนละ

กลุ่มคนรักพิพิธภัณฑ์ เยื่อนถิ่นเจ้าชายจิตรเสนแห่งเจนละ ปี 52

คณะเราเริ่มออกเดินทางจากนครปฐม ในคืนวันที่ 9 ต.ค 52
มุ่งสู่จังหวัดอุบลราชธานี โดยเป้าหมายที่แรกคือที่ อ.บ.ต  ชีทวน อ.เขื่องใน
           ถึง อ.บ.ต ชีทวน ในเวลา 6.00 น มีรถยนต์ของ อ.บ.ต มารอต้อนรับคณะของเรา
นำคณะของเข้าสู่ที่ทำการ อ.บ.ต.เพื่อรัปประทานอาหารเช้า
ชาวชีทวน นำคณะเยี่ยมชมวัดต่างๆในชุมชนเป็นอย่างดีเยี่ยม เป็นอะไรที่ประทับใจมาก
อยากให้มี อ.บ.ต อย่างนี้ทั่วประเทศไทย

ปราชญ์ชาวบ้านชีทวนกำลังบรรยายประวัติวัดพระธาตุสวนตาล
พระธาตุสวนตาล

พอนมัสการพระธาตุสวนตาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คณะเราเท้าขยับไปอีกวัดหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กัน
คือวัดศรีนวล เพื่อชมธรรมาสน์สิงห์เทินปราสาท

ธรรมาสน์สิงห์เทินปราสาท

อากาศที่วัดศรีนวลดีมากๆ จนทำให้อาจารย์กบ ต้องจำศิลก่อนกำหนด

หลังจากท้ศนศึกษาภายในตำบลชีทวนจนได้สมควรแล้วท่าน ผอ. พายัพ เป็นตัวแทนกลุ่มกล่าวคำขอบคุณกับปราชญ์ชาว และอบต.ชีทวน
ที่ให้การตอนรับอย่างดีเยี่ยม
จากนั้นคณะกลุ่มคนรักพิพิธภัณฑ์ออกเดินทางต่อมุ่งสู่วัดทุ่งศรีเมือง กับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี

หอไตรวัดทุ่งศรีเมือง

นั่งพับเพียบฟังบรรยายใน พช.อุบล อย่างตั้งใจ
มอบของที่ระลึกโดยเลขากลุ่มฯ

ท่านอาจารย์กบ ทำงานแล้ว..บรรยายในวัดวัดสุปัฏนารามวรวิหาร

ใบเสมาในวัดสุปัฏนารามวรวิหาร ใบนีน่าสนใจมาก
สังเกตุที่รูปธรรมจักรที่ด้านบน

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวอินเดียใต้ กับ 4 คน 4แนวความคิด สัมผัสดราวิเดียนที่น่ารัก

ก่อนขึ้นเครื่อง
คณะเดินทาง สุประดิษฐ์ ทรัพย์พลับ,พี่ปัญญา พูพะเนียด
และเล็กคุง ศิโรตม์ ภินันรัชธร ส่วนคนถ่ายภาพมนัสศักดิ์
เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างVIp
โดยความอนุเคราะห์ของ คุณกิติพงษ์(พี่เจี๊ยบ) เกิดฤทธิ์
มุ่งสู่สนามบินเมืองเชนไน ใช้เวลาบินประมาณ 3ชั่วโมง ถึงก็ดึกมากแล้วจะนอนที่เชนไนก็เปลืองค่าโรงแรม
แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้านอนสนามบินคงไม่ปลอดภัย มีทหาร บังเกอร์ ปืนกล อาวุธหนัก ยังกับอยู่ในสงคราม
เราเลยตัดสินใจเช่า“ริกชอว์”หนีไปเมืองมัลลปุลัม ใช้เวลาต่อราคาประมาณ 1 ช.ม เหลือราคา 1,200 รูปี
(โดนหลอกเป็นครั้งแรกที่เจอแขก เพราะราคาจริงอยู่ที่ประมาณ 500 รูปี)ถึงมัลลปุลัม ประมาณตี 2 ใช้หาเกตเฮาส์ที่นอนราคาถูก อีก 1 ชม.เพราะแขกหลับหมดแล้ว ฉนั้นต้องปลุกด้วยเสียงแตรปีศาจ
                                                 เล็กคุงยามเช้าก่อนหากาแฟดื่ม
                                                       บรรยากาศจากหน้าห้องพัก
            

                                              มุมมองยามเช้าจากเกตเฮาส์ดูทะเล

คุณป้าขายพวงมาลัยหน้าวิหารในยามเช้า
ชาวม้ลลปุลัมเล่นนำทะเลในตอนเช้า ราว 07.00 น
สาวน้อยคนนี้เธอไม่สนใจน้ำทะเล บูชาศิวะลึงค์ดีกว่า

ทะเลยามเช้าหลังวิหาร เมืองมัลลปุลัม

ในตอนเช้าวิหารชอร์(Shore Temple)ยังไม่เปิดให้เข้าชม เลยแอบดูนอกรั้ว

วิหารชอร์(Shore Temple)เมืองมัลลปุลัม ในอดีตเป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญของกษัตริย์ในราชวงศ์ปัลลวะ
ซึ่งวิหารหลังนี้น่าจะเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญ

เล็กคุงกำลังสนใจเรือไม้ของชาวมัลลปุลัม
เรือประมงที่ยอดนิยม

เธอคนนี้ทำความสะอาดหน้าบ้านเสร็จแล้วจึงเขียนลายมงคลที่หน้าประตูทางเข้า
ทุกวันในตอนเช้าเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของคนในครอบครัว
รถเก็บขยะในตอนเช้า พนักงานทำความสะอาดส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง
ในตอนเช้าคนส่วนใหญ่จะนำภาชนะทุกชนิดมาเก็บน้ำ
เพราะน้ำประปาที่นี่ ปล่อยน้ำเป็นเวลา

ภาพสลักเล่าเรื่องพระแม่คงคา สันนิฐานว่าน่าจะเป็นตอนที่เชิญพระแม่คงคาลงมาจากสวรรค์
กินนรนางนี้กำเล่นดนตรีวีณา ชนิดหนึ่งชื่อว่า "เอกตันตริกะ"
ซึ่งเหมือนกับภาพปูนปั้นที่พบที่เจดีย์จุลประโทน นครปฐมเป็นอย่างมาก

คุณสุกร..อุ๋ย ขอโทษ..นายสุประดิษฐ์ กับ กฤษณะ บอล (Krishna's Butterball)
ใครใหญ่กว่ากัน


เดินเที่ยวไม่ไหวแล้วเช่าจักรยานดีกว่า
ค่าเช่าวันละ 40 Rs
นักเรียนเดินเดินรณรงค์ ให้ตระนักถึงภัยโรคเอดส์
ในวันเอดส์โลก
ร้านขายผลไม้

ปัญจรถ อ่านว่า ปัน-จะ-ระ-ถะ (รถ 5 คัน)Pancha Rathas

บูชาพระพิฆเนศในตอนเช้า

กรรมกรสาวกับวิธีขนอิฐ



ไว้ติดตามตอนต่อไปนะครับ มีเรื่องฮาๆเพียบ