เสียมเรียบ กัมพูชา
คณะกลุ่มคนรักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ เริ่มออกทัศนศึกษาประเทศเพื่อนบ้านของเราเป็นครั้งแรกโดย สถานที่แรกที่พวกเราคิดกันคือ "เขมร" โดยเริ่มเดินทางจากคณะศึกษาศาสตร์ ม.ศิลปากร วิทยาเขต พระราชวังสนามจันทร์ ในเวลา 24.00 น. ไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองปอยเปตเช้าพอดี จากนันจึงเริ่มเข้าสู่เนทางวิบาก จากปอยเปต ถึง เสียมเรียบ ใช้เวลาตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ซุ้มประตูเข้าเมืองเขมร
สภาพถนนตลอดเส้นทาง
อยู่ในเส้นทางวิบากประมาณ 6 ชั่วโมง พอไปถึงเข้าสู่ที่พัก คิดว่าจะได้นอนเล่นอย่างมีความสูข แต่ป๋าตั้มก็เรียกพวกเราขึ้นรถออกเดินทางไปลงเรือเที่ยวโตนเลสาปต่อ
เรือล่องโตนเลสาป
เรือขายของในโตนเลสาป
จากนั้นกับเข้าเมืองเสียมเรียบเข้ามารับประทานอาหารเย็น เคล้าเสียงดนตรี
รุ่งขึ้นเช้าเราออกเดินทางไปที่แรกคือ ปราสาทปักษีจำกรง
ปราสาทปักษีจำกรง สร้างในปลายพุทธศตวรรษที่ 15 (พ.ศ. 1471)สมัยของพระเจ้าหรรษวรมันที่ 1 และบูรณะในรัชสมัยของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 เป็นศิลปะแบบบาแคงและเกาะแกร์ มีรูปทรงปิรามิด ความเป็นมามีนิทานพื้นบ้านเล่าขานเรื่องของพญานกได้นำเอาโอรสของพระราชา ซึ่งตกอยู่ในอันตรายระหว่างการแย่งชิงราชสมบัติมาเลี้ยงจนเติมใหญ่จึงกลับมาชิงราชบัลลังก์คืนได้ในภายหลัง และเมื่อปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์จึงได้ทรงสร้างปราสาทนี้เป็นการทดแทนบุญคุณของพญานก
ภายหลังจากการชมปิรามิดเขมรเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินข้ามสะพานเข้านครธม ที่สะพานแห่งนี้อยู่ทางด้านทิศใต้ของเมือง โดยแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน
ผมกับท่านอาจารย์อนัน ปั้นอินทร์ กับสะพานนาค ฝ่ายอสูร ก่อนเมืองนครธม
คูน้ำรอบเมืองนครธม
ซุ้มประตูทางเข้านครธมทางด้านทิศใต้
นครธมเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของ นครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมายนับแต่สมัยแรกๆ และที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมัน เรียกว่า ปราสาทบายน และมีพื้นที่สำคัญอื่นๆ รายล้อมพื้นที่ชัยภูมิถัดไปทางเหนือ
เข้ามาในเขตเมืองนครธมแล้วจุดแรกที่เราเดินไปชมคือ
ปราสาทบายน
เป็นปราสาทหินของอาณาจักรเขมร อยู่ในบริเวณของใจกลางนครธม สร้างขึ้นเป็นวัดประจำสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7-8 ก่อสร้างในราวปี พ.ศ. 1724-พ.ศ. 1763[1] หลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7ทรงได้ชัยชนะจากการขับไล่กองทัพอาณาจักรจามปา นับเป็นศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีความซับซ้อนทั้งในแง่โครงสร้างและความหมาย เนื่องจากผ่านความเปลี่ยนแปลงด้านศาสนาและความเชื่อมาตั้งแต่คราวนับถือเทพเจ้าฮินดู และพุทธศาสนา อาคารมีลักษณะพิเศษ เนื่องจากส่วนของหอเป็นรูปหน้าหันสี่ทิศ จำนวน 49 หอ ปัจจุบันคงเหลือเพียง 37 หอ ลักษณะโดยทั่วไปจะมี 4 หน้า 4 ทิศ แต่บางหออาจมี 3 หรือ 2 แต่บริเวณศูนย์กลางของกลุ่มอาคารจะมีหลายหน้า
ลักษณทางสถาปัตยกรรมของบายนก็เช่นเดียวกับเรื่องความเชื่อ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงมาในหลายๆ สมัย กษัตริย์ในยุคหลังๆ พบว่าเป็นการง่ายกว่าที่จะปรับปรุงวัดแห่งนี้ แทนที่จะรื้อสร้างใหม่เช่นที่ทำกัน และใช้เป็นวัดประจำสมัยต่อเนื่องกันมา ภาพปูนปั้นรอบระเบียงคต เล่าเรื่องแสดงวิถีชีวิตของชาวขะแมร์
อ.สร้อยฟ้า กับใบหน้าบายน
ภายหลังจากชมปราสาทบายนเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์กบ พาพวกเราเดินผ่านพระราชวังไป
ปราสาทพิมานอากาศ
ปราสาทพิมานอากาศ สร้างในรัชสมัยใด ยังไม่ปรากฏแน่ชัด ตั้งอยู่ด้านหลังของพระราชวัง มีความเชื่อว่า กษัตริย์ขะแมร์ จะต้องขึ้นไปบำเพ็ญภาวนา และร่วมหลับนอนกับนางนาค 9 เศียร บนปราสาทพิมานอากาศทุกคืน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งของอาณาจักรขะแมร์
และที่พลาดไม่ได้ต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
(เดี๋ยวเขียนต่อนะครับ อีกยาวไกล)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น